บทกลอน : คำประกาศ จากกู ผู้ทระนง เขียนเป็น บทกลอน ๘ จำนวน ๗ บท กะว่าจะเขียนเป็นแนวปลุกขวัญ และสร้างกำลังใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลุกขึ้นหรือไม่ แต่อ่านเองก็ค่อนข้างดี ( การชมตัวเองเป็นวิธีสร้างกำลังใจอย่างหนึ่ง ) ผมไม่สามารถบรรจุสิ่งที่คิดทั้งหมดไว้ในบทกลอน หากจะมีคำอธิบายสั้น ๆไว้ในตอนท้าย ในตอนนี้อยากให้ท่านลองอ่านคำกลอนไปก่อนครับ แล้วค่อยเจอกันในย่อหน้าสุดท้าย
บทกลอน : คำประกาศ จากกู ผู้ทระนง
นี้คือกู ผู้ขอท้า กล้าประกาศ
หาใช่ขลาด หวาดเกรงกริ่ง สิ่งใดไม่
ด้วยยึดหลัก อันสูงส่ง เป็นธงไชย
แม้นยากไร้ เดี่ยวโดด มิโอดครวญ
นี้คือกู ผู้ฝ่าฟัน คืนวันหนาว
ไร้แสงพราว จากเดือนร้าว แลดาวล้วน
ด้วยใจกล้า แรงจิตแกร่ง แทนแสงนวล
หยาดเหงื่อมวล ที่ถาโถม ชโลมกาย
นี้คือกู ผู้ขอคว้า แลล่าฝัน
แม้นว่ามัน จะเลือนราง ฤๅจางหาย
ด้วยมีฝัน ย่อมมีหวังพอ หล่อเลี้ยงใจ
จงทำให้ ฝันนั้น พลันเป็นจริง
นี้คือกู ผู้มุ่งสู่ ภูผานั่น
กำแพงฝัน ยากทะลาย ด้วยใหญ่ยิ่ง
สองมือกล้า สองขาแกร่ง มิประวิง
หนึ่งใจนิ่ง วิ่งชิงฝัน นั้นมาครอง
นี้คือกู ผู้ทระนง ดำรงอยู่
นี้คือกู ผู้เก่งกล้า มิเป็นสอง
นี้คือกู ผู้ที่ มิเป็นรอง
นี้คือกู ผู้กู่ก้อง ประกาศคำ
พ่อกูคือ ท้องฟ้า มาปกเกศ
แม่กูคือ ธรณีประเทศ ผู้เลิศล้ำ
พี่กูคือ สายลมเย็น จงจดจำ
น้องกูคือ ผืนน้ำฉ่ำ เป็นย้ำเตือน
วะเหวยเหวย เฮ้ยเจ้า เหล่าสหาย
หากเร้นกาย ซ่อนใจอยู่ รู้ไหมเพื่อน
จงหาสิ่ง จรรโลงจิต อย่าแชเชือน
พลันก้าวเยือน เปิดโลกใหม่ ตามใจปอง
คำขยาย เพื่ออธิบายบทกลอน
ไม่รู้ว่าอ่านบทกลอนข้างต้นไปแล้ว มันทำให้ท่านรู้สึกฮึกเหิมขึ้นบ้างหรือเปล่า จริงแล้วผมตั้งใจจะกล่าวว่า ในชั้นแรกขอให้เราลองตั้งธงว่า คนอย่างเราควรเป็นแบบไหนเสียก่อน ไม่ต้องให้มันหรูหราจนปฏิบัติไม่ได้ดอกครับ เช่นหาคำขวัญง่าย ๆประจำตัว เช่นของผม ได้ยึด คำสอนของพ่อ ที่ให้ไว้ก่อนที่ผมจะเดินทางเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯว่า อดทน ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด สะอาด ซึ่งผมจำ และปฏิบัติได้ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อคุณได้ธง ที่เป็นหลักการอันสูงส่งประจำตัวของคุณแล้ว ขอให้คุณเชื่อ และยึดมั่นในหลักนั้น และนำมาปฏิบัติให้ได้ แม้ว่าคราใดที่คุณต้องยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ตาม เพราะนั่นจะทำให้คุณเป็นผู้โดดเดี่ยว ที่ยังคงความสง่างามไว้ได้อย่างไม่รู้คลาย
กำลังใจ และกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในทัศนะส่วนตัวของผม ร่างกายที่แข็งแรง จะทำให้เราสามารถสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จิตใจที่สมบูรณ์จะช่วยให้ลดทอนความท้อถอยลงไป สำหรับบางคนทำได้ถึงขั้นที่ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นความตั้งใจของเขาได้เลย แม้ในยามที่ชีวิตจะดูมืดมน รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว คุณเคยรู้สึกบ้างไหม ผมเคยนะ ในยามที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญมาก ๆที่ไม่อาจขอคำปรึกษาจากใครได้เลย ผมจะรู้สึกเย็น ๆหนาว ๆในร่างกาย เท้าเบา เวลายืน หรือเดินเหมือนว่าเท้าจะไม่ติดพื้น หัวใจเหมือนมีขนาดเท่าปลายก้อย และอ่อนแรงจัง ทั้งที่มีเพื่อนร่วมงานกำลังเฮฮาอยู่รอบ ๆตัวผมเต็มไปหมด แต่เหมือนว่าผมรู้สึกว่าโดดเดี่ยวเหลือเกิน ดังนั้นการฝึกให้มีจิตใจที่เข้มแข็งจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
ความฝัน เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความหวัง และเป็นแรงขับเคลื่อนให้ไปสู่ความฝันนั้นได้ มันเป็นสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา อย่างยากที่จะประเมิน มันสามารถสร้างแรงปรารถนาอย่างรุนแรงให้กับเรา จนต้องเสาะหาวิธีการเพื่อที่จะให้บรรลุถึงความฝันนั้นให้จงได้ คุณควรมีความฝันเป็นของตัวเอง
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใดก็ตาม ขอให้คุณสะกดจิตตัวเองด้วยการย้ำเตือนบ่อย ๆว่า คุณเป็นคนเก่ง ไม่เป็นสองรองใคร มีร่างกายแข็งแรง และมีจิตใจที่เข้มแข็งอยู่เสมอ มีความกล้าหาญ แม้ว่าคุณจะอยู่ในภาวะที่สูญเสียไม่ว่ากรณีใด ๆก็ตาม ผมโชคดีที่ได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนอยู่ในรุ่นเดียวกัน ที่ผมมารู้ในภายหลังว่าเพื่อนมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพื่อนเล่าถึงชีวิตของตัวเองให้ผมฟังอย่างไม่ปิดบัง ผมตั้งใจฟัง และรู้สึกเห็นใจเพื่อนมากจริง ๆ คำกล่าวตอนหนึ่งของเพื่อน ที่ผมบันทึกไว้เป็นอนุทินชีวิตส่วนตัวของผม ที่ขอลอกเอามาเปิดเผยให้เห็นจิตใจที่แข็งแกร่ง และวิธีคิดอันแยบยลของเพื่อน ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆที่กำลังรู้สึกท้อถอย บางส่วนผมแต่งเติมขึ้นให้มี story และเกิดความต่อเนื่อง และชวนอ่านมากขึ้น
เพื่อนพูดกับผมว่า ‘ กูรู้สึกว่าชีวิตของกู ทำให้มึงเศร้าเกินไปแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของกู ไม่ใช่ความผิดของมึง หรือของใคร ๆ มึงฟังกูนะ กูเคยโหยหาครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง มาเป็นเวลาหลายปี แต่สิ่งที่กูพบก็คือมันเป็นเพียงความว่างเปล่า ไม่มีค่าอะไรเลย ’ ถึงตอนนี้ผมได้บันทึกไว้ว่า ผมสังเกตเห็นว่าตาของมันเยิ้ม ๆ แต่มันก็ยังคงยิ้มอยู่ ‘ คืนหนึ่งระหว่างที่เพื่อน ๆ และน้อง ๆเด็กกำพร้ากำลังนอนหลับอยู่ กูเกิดความคิดขึ้นมาแว็บหนึ่ง และกูก็เดินออกมาที่ลานกลางแจ้ง พร้อมกับธูปหนึ่งกำมือ ’ มันมองผม เหมือนจะให้ผมถาม ผมส่ายหัวและพูด ‘ กูไม่ขัดมึง ต่อเถอะ ’ มันเล่าต่อว่า ‘ กูจุดธูปทั้งกำมือนั้น กูเล่า ตัดพ้อ ขอ อธิษฐาน และอะไรต่อมิอะไรอย่างมากมาย ซึ่งกูก็ไม่รู้ว่าทำไมกูถึงได้นึกคิดเรื่องราวได้มาก และยาวนานขนาดนั้นได้ มันยาวนานจนธูปดับคามือของกูเลย กูจำ และเรียงลำดับคำร้องขอของกูไม่ได้ทั้งหมด แต่คำร้องขอของกูบางอย่าง มันทำให้กูเชื่อว่าจากความคิดที่แว็บเข้ามาตอนที่อยู่ในห้องนอนนั้น มันเปลี่ยนชีวิตกูไปได้อย่างมากมาย ’ มันหยุดเพื่อนึก แล้วต่อว่า ‘ กูจำได้ว่า กูขอให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นในชีวิตของกู แล้วกูก็ขอให้ท้องฟ้าเป็นพ่อของกู ให้พื้นดินเป็นแม่ของกู กูจะมีพี่ชายเป็นสายลม และมีน้องสาวเป็นแผ่นน้ำ’ มันยังคงยิ้มอยู่ แต่ที่ชัดเจนมากก็คือผมแอบเห็นน้ำใส ๆที่ดวงตาของมัน ผมไม่ได้มองตรง ๆเพราะเกรงว่ามันจะอาย มันเล่าต่อว่า ‘ มันไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นให้เห็นด้วยสายตาหรอก แต่กูกลับรู้สึกว่ามันเกิดจากข้างในหัวใจของกูว่ะ รู้สึกเหมือนเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก ที่มีผู้ใหญ่เอาอาหารมาเลี้ยงที่บ้านเด็กกำพร้า ที่ผู้ใหญ่บางคนจะอุ้มกู เข้าไปกอดแน่น ๆ และหอมแก้ม กูรู้สึกอย่างนั้นจริง กูจำได้ว่าคืนนั้นกูร้องไห้อย่างหนัก และยาวนานมาก เหมือนได้ปลดปล่อยความทุกข์ทั้งมวลทิ้งไป เป็นการสั่งลา กูล้มตัวลงนอนลงบนพื้นหญ้า มองไปบนท้องฟ้าที่ มีลมพัดเอื่อย ๆ และฝนปรอย ๆ กูไม่ได้ลุกหนีไปไหนเลย เพราะกูรู้สึกว่า นั่นมันเป็นครอบครัวของกู ’ ผมคงไม่เล่าถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น ที่เรื่องราวจบลงด้วยดี ด้วยความเมตตา และเช้าใจเป็นอย่างดีของผู้ควบคุมดูแลบ้านเด็กกำพร้านั้น เพื่อนบอกว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันกลับรู้สึกว่าชีวิตของมันเพียบพร้อม และสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
ใครก็ตามที่ยังลังเลที่จะทำตามความฝันของตัวเอง โปรดก้าวข้ามอุปสรรคทั้งมวลเสีย และเริ่มทำมันซะ แม้นว่าจะมีภาระ หน้าที่การงานอย่างล้นมือ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเจียดเวลามาทำสิ่งที่รักไม่ได้เสียเลย จงคิด เชื่อมั่น ใฝ่ฝัน และกล้าหาญ แล้วคุณจะพบความสุขเล็ก ๆ ในโลกใบน้อย ๆของคุณเอง
ฝันดี ราตรีสวัสดิ์เช่นเคยครับผม