ฮวงจุ้ย

เรื่องสัพเพเหระ เคยมีบทความเกี่ยวกับการไหว้บรรพบุรุษที่สุสานชื่อ วันเช็งเม้ง ในบทความมีการกล่าวถึงเรื่องความกตัญญูของคนรุ่นหลังที่มีต่อบรรพบุรุษ การให้ความเคารพรักเมื่อครั้งที่ท่านมีชีวิตอยู่ หรือการเซ่นไหว้เมื่อท่านจากไปแล้วเป็นเรื่องที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาอย่างช้านาน ในบทความนี้ผมมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจและประทับใจปน ๆกันมาเล่าสู่กันฟังครับ ผมมีโอกาสได้ไปงานศพของญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่คนในครอบครัวผมให้ความนับถือ ผมไปทำหน้าที่แทนพ่อครับ พอพ่อผมจากไปไม่นานญาติท่านนี้ก็มาเสียชีวิตลง
 
ทองไทเจ็กเป็นพ่อค้าขายของชำ ภายหลังทำมาค้าขายจนร่ำรวยเป็นอันมาก พี่ชายผมเคยบอกว่าแกมีที่ดินกว้างตั้งแต่ ถนนพุทธมณฑล สาย๒ จรดถนนพุทธมณฑล สาย๓เลย ตอนนี้อายุ ๙๐ แล้วแต่แข็งแรงมาก สามารถเดินทางไปต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ(จีน)ได้ตามลำพัง ผมเคยแกล้งถามว่าแกอายุเท่าไรแล้ว แกบอก ๑๘  ทองไทซิ่มเมียแกเป็นคนใจดีพี่ชายบอกเวลาไปทำไฟให้ที่บ้านแก ซิ่มจะแอบให้เงินพิเศษอยู่บ่อย ๆ  เราจำได้ว่าเคยไปงานเลี้ยงงานแต่งคนแซ่เดียวกันที่ โรงแรมนารายณ์ตอนนั้นโตเป็นหนุ่มแล้ว งานนั้นผัวเมียทองไทก็ไปด้วยเรานั่งโต๊ะเดียวกัน ในงานมีคนใหญ่คนโตพาเมียและลูกสาววัยเดียวกับเรามาด้วย ทองไทซิ่มคะยั้นคะยอให้ผัวแกพาไปแนะนำกับครอบครัวคนใหญ่คนโตนั้น อาเจ็กแกก็ทำเฉย แต่พอทนรบเร้าไม่ไหวแกก็บอกว่าให้ไปแป๊ปเดียวนะ  อาซิ่มแกก็เดินไปที่โต๊ะครอบครัวนั้น ซึ่งอยู่ห่างไปนิดเดียว แล้วแกก็ค่อย ๆย่อตัวถอนสายบัวพร้อมกระพุ่มมือไหว้คนโตผัวเมียและเอียงมาไหว้ลูกสาวคนโตนั้น เราไม่ได้เอาเขามานินทาเป็นเรื่องขำขันนะ ด้วยสัตย์เราขอชมเชยอาซิ่มแก และไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงรวยมาก ทองไทซิ่มตายไปประมาณปี ๓๘หรือ๓๙ นี่แหละ จำได้ว่าพอพ่อเราตายเมื่อปี ๓๘ แล้วก็มีญาติทางพ่อตายมาอีก ๓คน มีทองไถ่ซิ่ม เบ็กเกียวโกว และอาอึ้มเมียอาแปะโรงกระดาน  ตอนเราไปงานศพทองไทซิ่ม วันนั้นเป็นวันนำศพไปฝังที่สุสาน บ้านนี้จะมีฮวงซุ้ยอยู่ที่ชลบุรี  เราไปถึงวัดตอนเช้าประมาณ ๗โมงมีเลี้ยงโต๊ะจีน ทั้งเจ้าภาพทั้งแขกตั้งหน้าตั้งตารีบกินกัน ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมรีบร้อนอะไรอย่างนั้น มารู้เอาตอนหลังว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่า เขาจ้างซินแสมาดูฤกษ์ยามเวลาจะเคลื่อนศพออก และเวลาจะเอาศพฝัง จึงต้องทำตามให้ตรงกับเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งแขกเหรื่อและเจ้าภาพจึงดูรีบร้อน เพราะซินแสไม่ได้กำหนดเป็นช่วงเวลาว่าตอนเช้า สาย บ่าย เย็นนะครับ เขากำหนดเรียกว่าเป็นนาทีเลย คนจีนให้ความสำคัญกับเรื่องการแต่งงานกับเรื่องฮวงจุ้ยมาก 
 
ในงานเราได้เจอกับเฮียเกี้ยซึ่งเป็นลูกของอาเจ็กที่เมื่อก่อนเป็นหุ้นส่วนอยู่ที่โรงกระดาน ครั้งนั้นครอบครัวนี้พักอยู่ด้วยกันกับครอบครัวอาแปะที่โรงกระดานนั้นเอง เฮียเกี้ยเก่งทางด้านศิลปะ  ทั้งการวาด ลงสี ถ่ายภาพ และเชี่ยวชาญทางด้านกล้วยไม้อีกด้วย เฮียแกเคยให้ สคส. กับผม แกใช้สีเหนียวแต้มเป็นรูปดอกไม้เป็นภาพที่ทำโดยไม่ได้ร่างแบบสวยมากครับ แกมีฝีมือการถ่ายภาพมากเล่ากันว่าทางสำนักราชวังเคยชวนให้เข้าไปทำงานถวาย แต่ไม่ทันได้ไป เพราะครอบครัวแกย้ายไปอยู่ชัยนาทและทำโรงสีข้าวที่นั่น แต่แกก็ยังคงสนุกกับงานศิลปะ เห็นว่าเข้าไปป่าที่เมืองกาญจ์บ่อยไปหากล้วยไม้ป่า  เฮียเกี้ยเล่าเรื่องฮวงซุ้ยให้ฟังว่า ที่คนนิยมมาฝังที่ชลบุรีมากเป็นเพราะว่า ที่ตั้งถูกตามหลักน้ำและลมทุกประการ คือภูเขาลูกนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ และมีรูปเป็นรูปโต๊ะเปรียบเสมือนเป็นเต่าดำ ด้านหน้ามีทะเลสาบธรรมชาติอยู่ เราไม่รู้เรียกทะเลสาบหรือเปล่าแต่เห็นว่ามันกว้างเหลือเกิน เกินกว่าจะเรียกว่าสระ นอกจากนี้ยังมีสระที่ทางเจ้าหน้าที่ขุดขึ้นมาเองอีกสระหนึ่ง อยู่ใกล้เข้ามา เฮียเกี้ยบอกว่าอย่างนี้เรียกว่ากินน้ำ ๒ บ่อ ทางซ้ายและขวาของสุสานนั้นมีเนินเขาขนาบอยู่ ถือว่ามีเสือขาวและมังกรเขียวอยู่ ส่วนในทะเลสาบก็มีโขดหินใหญ่อยู่กลางสระเขาเรียกว่า หงส์แดง ซึ่งสุสานนี้มีครบหมดทุกประการเป็นที่ที่มีฮวงจุ้ยดี เหมาะที่จะทำเป็นบ้านให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เฮียเกี้ยเล่าว่า  ตอนอาแปะโรงกระดานตายและนำไปฝังที่สุสานแห่งหนึ่งต่อมาก็มีญาติทางแกตายเพิ่มขึ้นมาเรื่อย อาเจ็กซึ่งตอนนั้นป่วยอยู่แกก็เดินทางไปทั่วเพื่อหาที่ทำฮวงซุ้ยสำหรับตัวแก และต้องมีลักษณะดีเพื่อจะเป็นการแก้กับฮวงซุ้ยของอาแปะ แกก็พาร่างที่เจ็บป่วยแวะเวียนไปดูหลายที่ก็ไม่ถูกใจ ไม่ได้ลักษณะที่ต้องการ จนมาดูที่ชลบุรีนี้วันนั้นมีลูก ๆไปด้วยเฮียเกี้ยก็อยู่ด้วย แกมาดูแล้วก็ว่าลักษณะดี แต่ด้วยป่วยจึงขอเดินทางกลับกรุงเทพฯก่อน ปล่อยให้ลูก ๆตกลงราคาค่างวด และทำเรื่องจ่ายเงิน จ่ายทองกันกว่าจะเสร็จก็เย็นโพล้เพล้พอดี  เฮียเกี้ยเล่าว่าหลังจากตกลงกันเรียบร้อยก็ได้รีบโทรศัพท์กลับไปเพื่อจะบอกกับอาเจ็กว่าได้ตกลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว  แต่กลับได้รับข่าวว่าอาเจ๊กได้สิ้นใจเสียแล้วอันเป็นเวลาเดียวกับเวลาที่ได้ตกลงและจ่ายเงินเสร็จนั่นเองครับ
 

เรื่องสัพเพเหระตอนนี้ฟังดูเหงา ๆเศร้า ๆบรรยายไม่ค่อยถูกครับ  แต่ชีวิตคนก็อย่างนี้แหละครับมีสนุกสนาน มีเหงา มีเศร้าคละเคล้ากันไปก็ให้ถือว่าเป็นสีสันของชีวิตก็แล้วกันครับ ความรัก และความห่วงใยกันนั้นเป็นพลังขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ชีวิตแล้วชีวิตเล่าไม่มีวันจบสิ้น สำหรับคืนนี้ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *