ม่านหมอกมัว มืดมิด ปิดเมืองหมอก
ความกลิ้งกลอก หลอกให้ตรม ระทมช้ำ
เพียงหลอกเดียว ก็เปล่าเปลี่ยว ทุกข์ระกำ
มาหลอกซ้ำ ย้ำหลอก เหมือนหมอกพราง
ม่านหมอกเหมือน มนต์หมู่เมฆ เสกเข้าใส่
ใจเอ๋ยใจ ช่างชอกช้ำ ซ้ำอ้างว้าง
ทนเฝ้าขอ รอวัน พลันหมอกจาง
รอฟ้าสาง สุรีย์กลบ ลบมนต์มาร
หมอกละม้าย มลายมนต์ มิทนฝ่า
มวลหมอกล้า โรยแรง ด้วยแสงฉาน
ม่านมืดมิด มิอาจตั้ง บังอยู่นาน
ดั่งวันวาร ผันผ่านไป ให้ลืมเลือน
บทบรรยาย บทกลอน มนต์หมอก
เรื่องสัพเพเหระในบทความนี้ เป็นเรื่องสัพเพเหระคำกลอนครับนาน ๆจะได้แต่งสักที คือผมต้องทำงานประจำด้วยน่ะครับ การแต่งบทกลอนสำหรับตัวผมแล้วคิดว่ายากกว่าการเขียนบทความมาก ขณะเดียวกันการเขียนก็ย่อมยากกว่าการพูดมากด้วยเช่นกัน ในแต่ละบาทของบทกลอนซึ่งมีคำอยู่เพียงแปดคำเราต้องคิดหนักมากให้แปดคำนั้นมันสื่อความหมายให้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการจะเล่าออกไป ในบทกลอนสามบทจะมีประโยค หรือวลีอยู่เพียงแค่สิบสองประโยคหรือสิบสองวลีเท่านั้นนะครับ และเชื่อผมเถอะครับว่าถ้านำบทกลอนสามบทนั้นมาสรุปให้เป็นประโยคบอกเล่าแล้วอาจได้ใจความสำคัญสักสองประโยคเห็นจะได้ครับ ผมจึงว่าการแต่งกลอนมันยากกว่ามากไง
ถ้าใครอ่านบทกลอนแรกของบทความนี้ก็อาจคิดว่ามาแนว ๆน้อยอกน้อยใจ อกหัก รักขม นมเล็ก อะไรทำนองนั้น ซึ่งผมก็เกรงจะถลำไปจนผิดเพี้ยนกับที่ตั้งใจจะสื่อออกไป จึงค่อย ๆหักทีละน้อย ๆในบทกลอนที่สอง แล้วพยายามสรุปให้ได้ในบทกลอนที่สามครับ แต่ถ้าใครอ่านไปแล้วยังคิดว่าเป็นแนวรักขม นมเล็ก ก็ตามแต่เลยครับเพียงแต่อย่าลืมอ่านบทสรุปแล้วลองคิดตามไปด้วยก็จะดีมากเลย
หากเรามองไปรอบ ๆตัวเราหลายสิ่งหลายอย่างนั้นล้วนสามารถทำให้เราเกิดความทุกข์ได้ทั้งนั้นแหละครับแต่ที่เห็นเป็นเรื่องหลัก ๆก็อาจเป็นเรื่องครอบครัว ความยากจน การเรียน ความรัก อาชีพการงาน ผู้คนที่เราต้องพบปะ ทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจทำให้เราเป็นทุกข์ได้ แต่ทุกเรื่องมันล้วนมีสาเหตุด้วยกันทั้งนั้นเพียงแต่เราตั้งสติแล้วคิดหาสาเหตุว่ามันคืออะไรแล้วค่อย ๆคิดแก้ไขไปเรื่อย ๆทำทุกวัน ทำต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาที่ทำให้เราทุกข์ใจสักวันหนึ่งมันก็จะเห็นเป็นผลสำเร็จ และจากความสำเร็จหนึ่งมันจะนำพาให้เราไปสู่อีกความสำเร็จหนึ่งที่อาจจะยิ่งใหญ่กว่ามากก็ได้ ความสำเร็จยังคงเฝ้ารอคอยคนที่มุ่งมั่นตั้งใจที่จะไปไขว่คว้าหามันมาครอบครอง เพราะสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความสำเร็จนั้นไม่ใช่ความล้มเหลวนะครับ แต่เป็นการที่เราไม่ยอมลุกขึ้นมาทำอะไรเลยต่างหาก
ปัญหาก็เปรียบเหมือนกับเมฆหมอกที่เข้ามาบดบังและฉุดเอาชีวิตบางด้านของเราให้ตกต่ำลงไป หากเรามัวแต่หลงระเริงไม่ยอมมองและหาทางแก้ปัญหาหนึ่ง เมื่อมันมีปัญหาที่สอง สามตามมาก็จะยิ่งทำให้ชีวิตเรามืดมนลงไปเรื่อย ๆ วิธีแก้ปัญหาก็เปรียบดังแสงอาทิตย์ครับเริ่มแรกก็เป็นแสงอ่อน ๆไม่สามารถทำให้เมฆหมอกจางหายไปอย่างทันทีทันใดได้ เมื่อเวลาผ่านไปแสงอาทิตย์ก็เจิดจ้าฉาดฉานจนทำให้เมฆหมอกมลายหายไปจนหมดสิ้น เหมือนแรก ๆที่เราทำการแก้ปัญหาก็ไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้อย่างหมดสิ้นเสียทีเดียว แต่ถ้าเรายังคงมุ่งมันทำอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย ทำอย่างต่อเนื่องอย่างไม่ยอมที่จะพ่ายแพ้จนปัญหาหมดสิ้นไปดั่งเมฆหมอกที่จางหายไปนั่นเอง ลองทำดูเถอะครับยิ่งเราทำก็จะทำให้เรามีทักษะในการแก้ปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในวันหนึ่งเราจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปครับ
ผมจำเป็นต้องจบบทความนี้ไว้เพียงเท่านี้ เพราะนี่ก็สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ผมต้องลงมาทำงานตอนห้าทุ่มคงจะไม่นอนละเดี๋ยวทำงานเลยดีกว่า ว่าง ๆจะเข้ามาเขียนเรื่องสัพเพเหระคำกลอนอีกครับสำหรับคืนนี้ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ
2 thoughts on “บทกลอน: มนต์หมอก”
เพราะจัง