แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

 

เรื่องสัพเพเหระ ในบทความนี้ผมมีเรื่องเล่าเนื่องในโอกาสวันแม่ที่กำลังจะมาถึง เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณของ แม่ ทุก ๆท่านครับ พ่อ และ แม่เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อยู่เสมอสำหรับลูกทุก ๆคน การได้ตอบแทนพระคุณของ พ่อ และ แม่ เป็นสิ่งที่เราควรทำ แม้ว่าจะยากเย็นเข็ญใจเพียงใดก็ตาม เรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ หรือเรื่องสำคัญที่ดูเหมือนว่าจะยุ่งยาก ที่ทำให้ความเป็นอยู่ของเราผิดเพี้ยนไปจากปกติ เราก็จงหมั่นทำให้ท่าน โดยเฉพาะยามที่พวกเขาเจ็บป่วย ผมขอเป็นกำลังใจให้กับลูก ๆทุกคนที่กำลังทำหน้าที่ดูแลบุพการีของคุณอยู่ และขอให้ความดีที่คุณได้ทำนี้ ส่งผลให้คุณมีชีวิตที่เป็นสุข ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสดี ที่ได้ดูแล แม่ อยู่นานหลายปี ก่อนที่ท่านจะจากไปเช่นกันครับ

บทความนี้  แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม ในครั้งแรกผมตั้งใจที่จะเขียนให้เสร็จสิ้นในตอนเดียวเลย แต่เขียนไปเขียนมามันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถเขียนได้อย่างลื่นไหลเป็นอย่างมาก เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ได้พรั่งพรูมาจากความทรงจำของผมอย่างต่อเนื่องเรื่องแล้วเรื่องเล่า ผมจึงจำเป็นเหลือเกินครับที่ต้องทำให้เป็นตอน ๆไป แต่ก็เป็นบทความที่ยาวมากทำเสร็จสินไว้ใน post เดียว แต่ละตอนเป็นเรื่องเล่าในเหตุการณ์บางอย่างระหว่างผม กับ แม่ ภาพต่าง ๆผมวาดด้วยโปรแกรม  MediBangPaintPro  และนำมาแต่งต่อด้วยโปรแกรม PhotoScapeซึ่งเป็นโปรแกรมฟรีทั้งคู่ ใช้งานง่ายครับ ภาพอาจจะไม่สวยมากพอ ก็เป็นเพราะฝีมือห่วย ๆของผมเองครับ ตัวโปรแกรมของเขาดีอยู่แล้ว ขอโฆษณาให้เสียหน่อย

แม่ ::: บุคคล VIPในชีวิตของผม

ตอน องครักษ์พิทักษ์แม่

 
 
แม่ ของผมมีลูกหลายคน ผมเชื่อของผมเองว่า แม่รักผมมากกว่าลูกคนไหน ๆ ตอนเป็นเด็กผมจะภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ที่มักได้รับเลือกจาก แม่เสมอให้เป็นผู้ติดสอยห้อยตามไปทำธุระต่าง ๆ  ในสมัยที่ตลาดตอนเย็นแถบบ้านผมยังคึกคักอยู่ ผมมีหน้าที่ถือตะกร้าตามไปตลาดสด ดีใจที่ใคร ๆก็พูดว่ามีผมเป็นองครักษ์  บ้านเรามีอาชีพค้าขายอยู่ในตลาดสด พอถึงช่วงเทศกาลสำคัญเราจำเป็นต้องมารอรับของที่จะนำมาขายตั้งแต่ดึก ๆดื่น ๆ เราสองคนจะเดินข้ามทางรถไฟที่ทั้งมืด และเปลี่ยวมายังตลาดสด ผมมีไฟฉายเล็ก ๆคอยส่องนำทาง ด้วยความที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ ผมรู้สึกว่า ตลาดสดยามมืดแล้วมันวังเวง และน่ากลัวมาก พอมาถึงที่ร้านของเราที่ปลูกขึ้นเป็นเพิง ไม่มีฝา และที่สำคัญไม่มีห้องน้ำ ไม่มีน้ำประปา มีเพียงหลอดไฟกลม ๆส่องแสงเหลือง ๆส้ม ๆที่ไม่สว่างมากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไรนัก เรามีเทียนไขติดตัวมาด้วยสองเล่ม มียากันยุง และน้ำดื่ม เราสองคนช่วยกันกางมุ้งจนเสร็จ  พ่อสั่งให้เตรียมห่อข้าวจากบ้านมาด้วย รอบ ๆร้านยังไม่มีใครมาเปิดร้านเลย มืด และเงียบจับใจ เราทั้งสองแกะห่อข้าวที่เตรียมมาแล้วนั่งกินกัน ผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับค่ำคืนอันเงียบเหงาคืนนี้ ตัวผมถูกไล่ให้มานอนในมุ้ง นาน ๆจะได้ยินเสียงคนผ่านมาทักทายสักทีหนึ่ง ทำให้ผมดีใจที่รู้ว่าเราไม่ได้อยู่กันอย่างโดดเดี่ยว แม่ ไม่ได้นอนหรอก ทำงานก๊อก ๆ แก๊ก ๆไป ผมยังคงรู้สึกเป็นกังวลกับความมืดมิด แต่ก็อุ่นใจเป็นอย่างมากที่มี แม่ อยู่ด้วย ผมไม่รู้หรอกว่า แม่ กังวลใจอะไรหรือเปล่า แต่ก็คิดเอาเองว่า แม่คงสุขใจไม่น้อยเลยที่พาผมมาเป็นเพื่อนในค่ำคืนนี้ …… 
 
มีคนผ่านมาทักทายเราถี่ขึ้นเรื่อย ๆไฟส้ม ๆถูกเปิดขึ้นจนสว่าง ไสวไปทั้งตลาด พ่อค้า แม่ค้า ต่างก็ง่วนอยู่กับการตระเตรียมสินค้า เพื่อคอยรองรับกองทัพลูกค้าที่จะมาจับจ่าย ซื้อข้าว ซื้อของต่าง ๆในช่วงเทศกาลสำคัญนี้ ไม่มีความมืดมิด ความเงียบสงบก็จากหายไปแล้ว ผมรู้โดยสัญชาติญาณว่า สงครามย่อย ๆระหว่างกองทัพแม่ค้า กับกองทัพลูกค้ากำลังจะเกิดขึ้นในตลาดสด ภายในไม่กี่อึดใจที่จะมาถึงนี้ สงครามแห่งความสุขได้ดำเนินไปอย่างวุ่นวาย และเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันนั้น และในที่สุดมันก็จบลงได้เมื่อตอนใกล้ ๆจะค่ำแล้ว มันเป็นเช่นนั้นเอง
พ่อ และ แม่ของผมไม่เคยปล่อยให้ลูก ๆที่มีอยู่หลายคนได้อดเลย พวกเรามีพร้อมในปัจจัยสี่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ดี เพียงแต่สิ่งที่จะใช้เพื่ออำนวยความสะดวก หรือเพื่อความบันเทิง พวกเราไม่มีเหมือนบ้านอื่น ๆเขา ผมรู้ว่าบ้านเราค่อนข้างจะยากจน วันหนึ่งช่วงหัวค่ำ แม่ชวนผมเดินไปบ้านคนรู้จักที่คุ้นเคยกันดี ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านผมพอสมควร ในขณะที่ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน ผมก็เล่นอยู่กับลูก ๆบ้านนั้น ผมสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เรามาที่บ้านนี้ตอนดึก ๆทำไมกัน ผมเล่นได้ไม่สนุกนัก เพราะผมแอบเห็น แม่ร้องไห้ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ สักพักหนึ่ง ภรรยาเจ้าของบ้านก็ยื่นแบ็งค์ร้อยสีแดง ๆใบหนึ่งให้กับ แม่ บอกว่ามันขาดแล้วเอาไปเถอะ เราเดินออกจากบ้านนั้นมา แม่ ไม่ได้รับเงินที่เจ้าของบ้านหยิบยื่นให้มาด้วย ระหว่างทาง แม่ มีสีหน้ากังวลใจ แต่ผมก็ไม่กล้าถามอะไร ผมได้แต่เพียงเข้าไปจับมือของ แม่ และเราสองคนพากันจูงมือกันเดินกลับบ้านของเราโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกัน ผมได้แต่คิดว่าเรื่องอะไรกันหนอ ที่ทำให้ แม่เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้…….

แม่ ::: บุคคล VIPในชีวิตของผม

ตอน รหัสลับของแม่

 
 
แม่ ไม่ได้เรียนหนังสือหรอกครับ แต่ แม่ก็มีภาษาเขียนในแบบของตัวเองอยู่ ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะสามารถอ่านรหัสลับนี้ได้เลย มีเพียงตัวเลขฝรั่งเท่านั้นที่จะสื่อได้เหมือน ๆกับของคนอื่น ๆเขา เวลาทำบัญชีรายการสินค้าให้กับลูกค้า จะเป็นเรื่องสนุกสนานมากถ้า แม่ เป็นคนลงมือจดบัญชีด้วยตัวเอง ผมเคยเห็นภาพ แม่ ยืนท้าวสะเอว อ่านโพยบัญชีของตัวเอง ให้ป้าแก่ ๆซึ่งเป็นลูกค้าที่นั่งพับเพียบกับพื้นหมอบก้นโด่งคอยจดรายการสินค้า และราคาสินค้าที่แกซื้อบนกระดาษยับ ๆของแก คนหนึ่งอ่านไปก็หัวเราะไป อีกคนจดไปก็ขำไป เพราะบางที แม่ก็อ่านรายการที่ลูกค้าบอกว่าไม่ได้ซื้อไปซักหน่อย และบางทีลูกค้าก็จดในรายการที่ แม่ บอกว่ายังไม่ได้ขายออกไปสักชิ้นเลย ลูกค้าหลาย ๆคนก็มีภาษาเขียนส่วนตัวของเขาที่ใคร ๆก็ไม่สามารถอ่านออกได้เช่นกัน จึงทำให้เกิดเรื่องชื่นมื่นดังที่กล่าวมาข้างต้น
แม่ เขียนเลขฝรั่งได้ แต่ใครอย่าได้บังอาจไปอ่านเชียวนะ เพราะจะอ่านไม่ถูกเลย มันมีตัวเลขมากมายเต็มไปหมด โดยเฉพาะเลข 0 จะมีมากเป็นพิเศษเสียจนนับไม่ถูกเลยล่ะ ถ้า แม่ จะเขียนจำนวน สองหมื่นสองพัน แม่ ก็จะเขียนสองหมื่นก่อน คือมีเลขสองที่ตามด้วยเลขศูนย์อีกสี่ตัว แล้วจึงเขียนสองพัน คือมีเลขสองที่ตามด้วยเลขศูนย์อีกสามตัวเป็น 200002000
200002000400  คือ  22400
100009000500    คือ   19500
แม่ ต้องใช้เวลานานมากกับการรวมเลขสักชุดหนึ่งให้สำเร็จ จนบางครั้งก็เผลอหลับไป หลับ ๆตื่น ๆอยู่หลายรอบกว่าจะรวมเลขเสร็จ แม่ จะเขียน และทวนหลาย ๆครั้งเพื่อไม่ให้ผิดพลาด ยิ่งหลักแพง ๆหน่อยก็จะจิ้มทวนอยู่นั่นแหละจนมั่นใจว่าถูกต้องแล้ว ก็ได้อาศัยพ่อ ที่รู้หนังสือ และพี่สาวคนโตที่ต่อมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของครอบครัวเป็นคนทำแทน โดยเฉพาะพี่สาวของผมคนนี้มีความสามารถรวมเลข สามถึงสี่หลักที่ชุดหนึ่งมีราวสิบกว่ารายการได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยใด ๆเลย
 
เมื่อผมเข้าโรงเรียนจนพออ่านออกเขียนได้แล้ว  แม่จะใช้ผมให้ช่วยลอกบัญชีอยู่เป็นครั้งคราว ผมจะคอยจดตามคำบอกของ แม่ ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะแล้วเสร็จ ผมเคยแอบดูสมุดบัญชีของ แม่ก็ไม่รู้เลยว่าคืออะไรบ้าง จะพออ่านออกก็เฉพาะส่วนที่เป็นตัวเลขฝรั่ง ทำให้รู้ว่า ถึงแม้ แม่จะเขียนเลขฝรั่งได้ไม่งามนัก แต่ก็มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจนน่าแปลกใจ กับบางคนเสียอีกที่ได้ร่ำเรียนเขียนอ่านมาแล้ว กลับเขียนหนังสือดูรกหูรกตาจัง แม้ว่าผมจะอ่านออก แต่ไม่เคยคิดอยากที่จะอ่านเสียเลยด้วยซ้ำ สู้แอบอ่านภาษาปริศนาของ แม่ก็ไม่ได้….

แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

ตอน คุณแม่ผัดชิว ลูกชายรอชิม
 
 
 
 
 ในช่วงยีสิบกว่าปีมานี้ ครอบครัวของเราหมดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจไปอย่างสิ้นเชิง สามารถมีบ้านหลังใหม่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆอย่างครบถ้วนจากกิจการ ที่ พ่อ กับ แม่ ได้ริเริ่มเอาไว้ พ่อได้จากพวกเราไปนานมากแล้ว ส่วน แม่ก็เกษียนตัวเอง ผมลาออกจากงานบริษัทที่เคยทำอยู่ในกรุงเทพฯด้วยเหตุบางประการ และกลับมาอยู่บ้าน ช่วงนี้เองที่ผมกับ แม่มีกิจกรรมอื่นที่ทำร่วมกันอย่างมากมายเป็นพิเศษ เมื่อครั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ หากเกิดปัญหาใหญ่ ๆที่ทำให้ แม่ทุกข์ใจ พ่อจะบอกกับผมเสมอให้เข้าไปดูแล แม่ผมก็ทำได้แต่เพียงไปนั่งอยู่ใกล้ ๆ แม่ทำอะไรก็ช่วยทำ แม้ว่า แม่จะไม่ยิ้ม ไม่พูดคุย แต่ก็ไม่แสดงท่าทีว่ารังเกียจ หรือรำคาญที่มีผมมาอยู่ใกล้ ๆเลย  ข่วงที่ผมย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน ผมช่วยงานธุรกิจของครอบครัวในช่วงตีสอง ถึงประมาณเจ็ดโมงเช้า แล้วกลับบ้านมาอยู่กับ แม่ สักพักหนึ่ง แล้วจึงกลับไปช่วยงานที่ร้านต่อจนเสร็จ แม้ว่าผมจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เวลาที่อยู่กับ แม่ก็จะแอบทำตัวเป็นเด็ก ให้ได้ถูกบ่นถูกว่าเสมอ ผมมักจะแกล้งลืมวางของใช้ส่วนตัว พวกแว่นตา ปากกา สมุดบัญชีไว้ไม่เป็นที่ และจะโวยวายเสียงดัง เพื่อหาของใช้เหล่านั้นเป็นประจำ แม่ จึงมีหน้าที่อย่างหนึ่งคือช่วยค้นหาข้าวของส่วนตัวของลูกชาย พักหลัง ๆยังไม่ทันที่ผมจะได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรเลย ของใช้ต่าง ๆที่ผมวางไว้ไม่เป็นที่เป็นทางก็ถูกเตรียมไว้ให้เรียบร้อย และถูกหยิบยื่นมาให้กับผม
ผมแอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารอยู่ในยามว่าง แต่ก็ไม่เคยทำอาหารยาก ๆให้ แม่ได้กินเลย เพราะผมคิดเอาเองว่า ความสุขของคนที่ได้กินอาหารฝีมือลูกนั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับ ความสุขของคนที่ได้ทำอาหารให้ลูกกิน ปกติเราสองคนจะไม่ซื้ออาหารจากนอกบ้านมากิน แต่จะทำกินกันเองง่าย ๆในมื้อเช้าที่มีเวลาอันน้อยนิด ผมจะคอยเป็นลูกมือตามแต่จะถูกสั่งให้ทำ ล้างผัก หั่นผัก หั่นเนื้อสัตว์ แม้แต่ถือขวดน้ำปลาคอยเติมใส่ในกระทะร้อน ๆ ผมมักจะแกล้งหั่นผักไม่ให้มันดูสวยมากนัก ชิ้นเล็กบ้าง ใหญ่บ้างให้ถูกบ่น ถูกว่าจ้ำจี้จ้ำไช และที่ผมชอบมากที่สุดก็ตอนชิมอาหารร้อน ๆที่ยังอยู่ในกระทะ ผมพยายามจะยืนชิมอยู่อย่างนั้นนาน ๆ ตักชิมแล้วชิมอีก จนถูกว่าประชด ให้ไปตักข้าวมากินหน้ากระทะเลยดีไหม จะได้ไม่เปลืองจาน ตอนนี้แหละผมจะได้โอกาสสอพลอเลยว่า ก็มันอร่อยนี่นา ไว้คราวหลังก็อย่าทำให้มันอร่อยอย่างนี้นักซิ คราวนี้ล่ะครับไปหาเข่งใบใหญ่มาคอยเก็บคะแนนพิศวาสจะได้เป็นกอบเป็นกำไปเต็ม ๆเลย  ผมชอบนักที่จะหาเรื่องที่ทำให้ แม่ ขุ่นเคืองใจเล็ก ๆทุก ๆวัน ผมรู้ว่าถึง แม่ จะงอนก็งอนได้ไม่นานหรอก เพราะจะทนอานุภาพแห่งการง้อของผมไปไม่ได้อย่างแน่นอน

เมื่อเทียบกันแล้ว แม่ทำอาหารอร่อยสู้พ่อไม่ได้เลย อาหารของพ่อจะค่อนข้างอลังการ ทำยาก และต้องใช้เวลา ที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วก็คือ ขาหมูต้มพะโล้ ที่ผมว่าร้านดัง ๆหลาย ๆเจ้าก็ยังสู้ไม่ได้เลย ผมยังนึกเสียดายที่ไม่สามารถจดจำวิธีการทำดั้งเดิมทั้งหมดเอาไว้ได้ เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนชอบกินข้าวขาหมูมาก ส่วนอาหารของ แม่ มักจะเป็นอาหารอย่างเดียว เช่นผัดผักจานใหญ่ ๆ หรือถ้าเป็นแกง ก็แกงหม้อใหญ่ ๆเลยเช่นกัน แม่ชอบกินผัดไหลบัว หรือผัดสายบัว แกงกะทิสายบัวกับปลาทูมากเป็นพิเศษ ซึ่งผมไม่ชอบกินเอาเสียเลย แม่ ไม่ขอบทำแกงเขียวหวาน แต่จะเน้นไปที่แกงเผ็ด ที่ แม่เรียกว่าแกงแดง ของกินฝีมือของ แม่ที่ผมชอบก็คือ ขนมใบกูไช่ ผมว่ามันเป็นอาหารที่แปลกตรงที่ว่า มันมีรูปลักษณ์ง่าย ๆคือ มีเพียงผักที่หุ้มห่อด้วยแป้งแล้วเอาไปนึ่งเท่านั้นเอง แต่ผมว่าเด็ก ๆส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะกินมัน แม้ว่าผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่ชอบกินมัน แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้ แม่ทำให้กินบ่อยนัก เพราะว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำอาหารชนิดนี้ สิ่งที่ แม่จะไม่ยอมซื้อมาทำกินเด็ดขาดก็คือ ปลาดุก ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่คิดเอาเองว่า เพราะปลาดุกมีก้างเยอะมาก โดยเฉพาะก้างเล็ก ๆน้อย ๆที่แทรกอยู่ตามเนื้อปลาที่จะทำให้ไปติดคอได้ ยิ่งพวกเด็ก ๆที่มักไม่ค่อยระมัดระวังในการกิน ถ้าติดคอเข้าไปแล้วก็จะทุกข์ทรมานมากเลย จะทำให้เดือดร้อนมาถึงผู้ใหญ่ได้ โดยเฉพาะ แม่ ที่ต้องใช้มนต์วิเศษเสกเอาก้างออกมาจากคอเด็ก ๆ แม่ของผมมีมนต์วิเศษอย่างนั้นจริง ๆน้า….

แม่ ::: บุคคล VIPในชีวิตของผม

ตอน มนต์วิเศษของแม่

ผมทิ้งท้ายไว้จากตอนที่แล้ว เรื่องก้างปลาดุกที่อาจจะเข้าไปติดคอเด็ก ๆได้ โดยเด็ก ๆที่มักจะกินไป เล่นไป หรือพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร มักจะไม่ค่อยระมัดระวังเรื่อง การเคี้ยว และการกลืนอาหาร ถ้าวันไหนมีอาหารจานปลาอยู่บนโต๊ะ ผู้ใหญ่ต้องคอยหมั่นดูแลให้เป็นพิเศษ เพราะเมื่อใดมีเหตุการณ์ ก้างติดคอ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับเด็ก ๆแล้วละก็จะเป็นเรื่องยุ่งยาก โกลาหลอลหม่านเป็นอย่างยิ่ง การที่จะให้เด็กกลืนข้าวปั้นกลม ๆ หรือกลืนน้ำสักแก้วเพื่อทำให้ก้างหลุดออกจากคอ เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะทำไม่ได้เอาเสียเลย จนบางครั้งต้องเดือดร้อนพากันไปให้หมอช่วยเอาออกให้ และไม่ใช่ว่าปัญหาจะหมดไปหลังจากก้างหลุดออกจากคอแล้ว เพราะมันมักจะมี after shock ตามมาเป็นระลอกอยู่อีกหลายวัน ยิ่งโดยเฉพาะกับไอ้ตัวแสบที่มีฤทธิ์เดชมาก ๆ ก็จะถือโอกาสอ้อนจะเอาโน่น นี่ นั่น ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมกินข้าวโดยอ้างว่าเจ็บคอ…. ผมเป็นคนหนึ่งที่จะคอยฉวยโอกาสอันสำคัญนี้ไว้ได้เสมอ ดังนั้นแม้ว่าจะไม่อยากให้ก้างปลาติดคอ แต่ก็ไม่เคยรังเกียจอาหารจานปลาเลย เพราะถึงจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนั้นขึ้นก็ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว
 
ที่ผมบังอาจอ้างว่า แม่ ของผมมีมนต์วิเศษที่สามารถทำให้ก้างปลาหลุดไปจากคอได้นั้น เป็นเรื่องที่คนในครอบครัวของเรารู้กันเป็นอย่างดี และมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่จากประสบกับตัวเอง หรือผู้คนละแวกเดียวกันกับบ้านของเรา เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ถ้าใครไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่มีก้างปลาติดคอก็มักจะมาขอให้ แม่ ช่วยเอาออกให้เสมอ โดยคนผู้นั้นต้องมาหา แม่ด้วยตัวเองพร้อมถือกับจานที่ใส่ปลาที่กินในมื้อนั้นมาด้วย แม่ จะรับจานปลาด้วยมือข้างซ้าย และบอกให้คนที่มีก้างปลาติดคออยู่นั้นคุกเข่าลงข้างหน้า  แม่จะถือจานปลาไว้เหนือหัวของคนนั้น และเอาจานปลาแตะที่หัวของเขาขึ้นลงเบา ๆ และใช้นิ้วหัวแม่มือด้านขวาไปเขี่ยตรงลำคอบริเวณที่มีก้างติดอยู่ และ แม่ก็ท่องคาถาวิเศษของแม่ไป พอได้จบหนึ่ง แม่ก็จะเป่ามาที่ลำคอของเขาทีหนึ่ง ทำอย่างนี้ 3 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี บางคนก้างที่ติดอยู่นั้นหายไปเลย แต่บางคนที่ก้างยังไม่หายไปในทันทีก็จะเดินกลับออกไป รอสักพักหนึ่งก็จะอาเจียนออกมา ทำให้ก้างปลาหลุดออกมาด้วยนั่นเอง ผมเคยถาม แม่ ถึงคาถานั้น ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ  แม่เพียงแต่บอกว่าอย่ารู้เลย มันมีข้อห้ามอยู่หลายข้อ หากใครรับไปแล้ว ถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้จะเป็นภัยกับตัวเอง ทุกวันนี้เท่าที่ผมรู้ แม่ไม่ได้ถ่ายทอดคาถานี้กับใครเลย และที่สำคัญ แม่ก็จากเราไปแล้วด้วย ดังนั้นในตอนนี้เวลาจะกินปลาอะไรก็ตาม ผมจะระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะหาคนคอยช่วยเอาก้างปลาออกจากคอไม่ได้อีกแล้ว การอ้อนจะเอาโน่น เอานี่ เหมือนเมื่อตอนเป็นเด็ก ๆก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะมันจะเป็นการน่าถีบเสียมากกว่าน่าสงสารไงครับ…..    

แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

ตอน ไม้เท้าเพื่อนใหม่ กับ ไม้ไผ่เพื่อนเก่า
 
 

ตลอดชีวิต  แม่คุ้นเคยแต่กับการเดินจากบ้านข้ามทางรถไฟไปทำงานที่ตลาด น้อยครั้งนักที่จะได้เห็น แม่ แต่งตัวสวยไปทำธุระในที่ไกล ๆ และด้วยเหตุที่ แม่ยุติบทบาทจากการงานที่ร้านของครอบครัวของเราแล้ว ผมจึงถือเอาโอกาสนี้ยุให้ แม่ แต่งตัวให้สวย ซึ่งจริง ๆแล้ว แม่ มีเสื้อผ้าดี ๆสวย ๆอยู่มากจนเต็มตู้เสื้อผ้า แต่ไม่ค่อยนำมันออกมาใช้ ดังนั้นหลังจากที่กินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจะคะยั้นคะยอให้ แม่ไปเปลี่ยนเป็นเสื้อตัวใหม่ แลกกับการพาเดินไปในที่ไกล ๆที่ผมคุ้นเคย และชอบไปเป็นการส่วนตัว แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่า แม่ไม่เคยไป หรืออย่างน้อยก็อาจจะเคยไป แต่รับรองได้ว่าไม่ได้ใช้เส้นทางที่ผมจะพาไปนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าสถานที่เหล่านั้นจะอยู่ห่างจากบ้านของเราไปไกลพอสมควร แต่ก็สามารถเดินเท้าไปได้อย่างสะดวกสบาย ผมพาเดินไปตามทางรถไฟ และข้ามไปอีกฟากซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่เรารู้จักกันดี  แม่จะถือไม้ไผ่ลำยาวที่ใช้ต่างไม้เท้าคนแก่ คอยจิ้มไปบนดินแข็ง ๆบนพื้นลานวัด เราเดินผ่านวัดไปอย่างอ้อยอิ่งท่ามกลางลมพัดเอื่อย ตรงไปที่ทางออกอีกด้านของวัด ที่มีถนนตัดขนานกับทางรถไฟ อีกฟากของถนนเป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆที่อยู่ในค่ายทหาร เราชวนกันข้ามถนน ช่วงนี้ แม่จะระมัดระวังมากเป็นพิเศษ และดูปราดเปรียวจนลืมวัย เพราะไม่วางใจในฝีเท้าคนขับรถบนถนนเส้นนี้ เราผ่านประตูทางเข้าโรงพยาบาลทหารมาแล้ว ผมพา แม่มานั่งพักเหนื่อยที่ม้าหินหน้าโรงพยาบาล ส่วนตัวผมก็แวบเข้าไปในโรงพยาบาล และรีบกลับมาพร้อมไม้เท้าคนแก่อย่างดี มีน้ำหนักเบา แต่ดูแข็งแรงมาก ผมรู้สึกดีใจที่ แม่มองมาที่เพื่อนใหม่ของ แม่ด้วยแววตาที่แสดงความพึงพอใจ ผมปรับความสูงของไม้เท้าให้ได้ระดับที่พอดี แล้วหันไปหยิบไม้ไผ่ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่ของ แม่เพื่อที่จะนำมันไปทิ้ง แต่ถูกขอร้องว่าอย่าทิ้งไป ด้วยเหตุผลที่ว่าได้พึ่งพาอาศัยกันมานมนาน ผมใจอ่อนยอมทำตามคำสั่งนั้นทันที

เราพากันลัดเลาะมาตามถนนลาดยางเล็ก ๆแคบ ๆที่มีไว้สำหรับให้ผู้คนในค่ายทหารใช้สัญจรไปมา ทั่วทั้งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ร่มครึ้มตลอดเส้นทาง มีเสียงลมพัดหวีดหวิวอยู่บนยอดไม้ ใบไม้สีน้ำตาลเก่า ๆก็ร่วงกราวไปตามทางเดินเล็ก ๆนั้น แม่ เดินจูงเพื่อนใหม่ไปอย่างสุขใจ ส่วนผมก็จำต้องแบกเพื่อนเก่าของ แม่มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเราเดินมาใกล้ถึงจุดหมาย ที่เป็นสนามบินเล็ก ๆที่ใช้ในกิจการทหาร ผมพา แม่ มานั่งที่ม้าหินมองดูคนมาเดิน หรือวิ่งออกกำลังกายกันที่มีอยู่มากพอสมควร มีหลายคนที่เราคุ้นเคยแวะเวียนมาทักทาย พอแดดเริ่มแรงเราก็ชวนกันกลับ โดยผมพาออกที่ประตูอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นประตูใหญ่หน้าค่ายทหารนี้ ข้ามถนนไปฝั่งตรงกันข้ามก็จะเป็นตลาดสดพอดิบพอดี ผมพา แม่ มายังร้านของเรา เพื่อแวะพูดคุยกับลูก ๆ และคนรู้จัก ได้สักพักหนึ่งเราก็พากันกลับบ้าน และเอาไม้ไผ่เพื่อนเก่าของ แม่  มาผูกค้ำต้นแก้วที่ปลูกมานานนับสิบปีด้านหลังของบ้าน แม่ ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะยังได้เห็นเพื่อนเก่าอยู่ทุกวัน

ผมพา แม่ออกไปผจญภัยเล็ก ๆอย่างนี้แทบทุกวัน ซึ่งระยะทางการเดินของเราไม่น้อยกว่าสองกิโลเมตร และ แม่ ดูมีความสุข ไม่เหน็ดเหนื่อยเลย จนวันหนึ่งในขากลับ เราเดินออกทางประตูใหญ่หน้าค่ายทหาร แม่ บอกผมว่าขอหยุดพักก่อน ผมเข้าไปจับตัว แม่ พบว่ามีอาการสั่นเล็ก ๆ และหน้าซีด แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมตกใจมาก รีบตะโกนเรียกรถสามล้อที่อยู่อีกฟากถนนมารับเรากลับไปบ้านทันที พอถึงบ้าน ผมพา แม่ เข้าไปนอนพัก ผมรอจนได้รับคำบอกว่า ไม่เป็นอะไรแล้วคงจะเหนื่อยเท่านั้นเองก็จึงวางใจ แต่หารู้ไม่ว่านี่เป็นสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกให้เรารู้ว่า แม่ จะล้มป่วยลงอย่างยาวนานในภายหลัง….

แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

ตอน ฝีฝักบัวที่หัวระหว่างทัวร์เมืองนอก
ตอนที่ พ่อ กับ แม่ยังแข็งแรงอยู่ ได้ชวนกันไปเที่ยวเมืองนอก การออกทัวร์ในครั้งนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นดี ผมได้ฟังจากปากพี่สาวที่เป็นลูกของป้าซึ่งไปกับทัวร์ในครั้งนั้นด้วย เล่าให้ฟังว่า พอลงจากเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว ทั้งพ่อ และ แม่ก็จัดการแบ่งสมบัติ คือข้าวของต่าง ๆที่เตรียมจะนำไปฝากญาติของแต่ละฝ่ายประเภทว่า อันนี้ของเธอ อันนี้ของฉันกันอย่างสนุกสนาน เมื่อจัดการแบ่งสมบัติกันเรียบร้อยแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปคนละที่ คนละเมืองกัน ก่อนจะกลับมารวมกันท่องเที่ยวในภายหลังอีกที สำหรับพ่อแล้วผมไม่รู้สึกเป็นห่วงอะไรนัก เพราะพ่อเคยไปมาหลายครั้งแล้ว แต่กับสาวน้อยที่เป็น แม่ ของผมเอง ที่ได้แยกตัวออกจากกลุ่มไปตามลำพังเป็นเรื่องที่ชวนให้ผมประหลาดใจไม่น้อยทีเดียว เพราะเป็นการเดินทางไปเมืองนอกเป็นครั้งแรก ช่างเก่งกล้าสามารถอย่างนี้นี่เอง ….
หลังจากพ่อผมจากไปหลายปี ลุงที่เป็นพี่ชายของ แม่ ได้มาชวนน้องสาวให้ไปเที่ยวเมืองนอกอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้แม่ อายุมากขึ้น พี่สาวของผมจึงได้ติดตามไปคอยดูแลด้วย ผ่านไปหลายวันแล้ว ผมคลายกังวลด้วยเข้าใจว่าการทัวร์ของ แม่ในครั้งนี้ก็คงจะราบรื่นดี แต่แล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวที่บอกมาว่า แม่ ล้มป่วยลง และมีฝีที่หัว ผมตกใจมาก และบอกให้รีบพา แม่ กลับทันที แต่ก็ได้รับแจ้งว่า แม่ ยังไม่ยอมกลับเพราะเกรงใจลุงที่ไปด้วยกัน และขอรักษาอาการฝีที่หัวในโรงพยาบาลที่นั่นแทน เล่ากันว่า หมอใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งนั้นถึงกับลงมาดูอาการของ แม่และเสนอให้ผ่าฝีที่หัวของ แม่ออกในทันที ทุกคนที่ไปในทัวร์ครั้งนี้ล้วนเห็นด้วยกับข้อเสนอของหมอใหญ่ ยกเว้นคนเดียวเท่านั้นคือ แม่ที่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมที่จะให้ผ่าฝีออก จะรอกลับมาผ่าที่บ้านเราเท่านั้น การรักษาจึงทำได้เพียงให้ยามากินเพื่อทุเลาอาการเจ็บปวดได้เท่านั้น คราวนี้ผมก็รู้สึกกระวนกระวายใจเฝ้ารอว่าเมื่อไรจะถึงกำหนดกลับจากการทัวร์ของ แม่ เสียที ผมคิดอยู่ในใจว่าเจ็บป่วยอย่างนี้เที่ยวไปก็ไม่สนุกน่าจะกลับมารักษาตัวให้หายดีเสียก่อนแล้วจะไปเที่ยวใหม่ก็ค่อยว่ากันอีกที คิดฟุ้งเลยเถิดไปถึงว่า ถ้ามีอะไรตกลงมาโดนฝีที่หัวของ แม่ ขึ้นมา จะทำให้เจ็บปวดขนาดไหนหนอ ….
แม่ กลับมาถึงแล้ว สิ่งแรกที่ผมทำก็คือ ขอเปิดดูหัวของ แม่ ในทันที สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมตกใจมาก เพราะมันเป็นฝีขนาดใหญ่เหมือนเอาส้มเขียวหวานมาผ่าครึ่ง แล้วเอามาแปะไปบนหัวยังไงยังงั้นเลย และมีหัวฝีจำนวนมากผุดขึ้นมาเป็นเม็ด ๆจนเต็มผิวส้มเขียวหวานนั้น ผิวของฝีนั้นเต่งเหมือนพร้อมที่จะแตกออกมาได้ทุกเมื่อ ระหว่างที่ดูกันอยู่นั้น แม่ก็ร้องครางเบา ๆว่าปวดจังเลย ผมสงสารมาก แต่ก็พลั้งปากตำหนิ แม่ ไปว่าเป็นฝีใหญ่ขนาดนี้ทนไปได้ยังไงทำไมไม่รีบกลับมาเสียก่อน หลังจากนั้นพวกลูก ๆก็ช่วยกันพา แม่ส่งโรงพยาบาลในทันที ขนาดของฝีทำให้หมอ กับพยาบาลถึงกับอึ้ง และด้วยเหตุที่มันไปขึ้นในตำแหน่งที่สำคัญอย่างนี้ ทำให้พยาบาลเองก็ยังอดเป็นกังวลไปไม่ได้เลย หมอจึงตัดสินใจลงมือผ่าเดี๋ยวนั้นเลย เวลาผ่านไปนานพอสมควร ผมนั่งรอจนพวกเขาเข็น แม่ออกมา ผมก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก แม้ว่า แม่จะดูไม่แจ่มใสนัก แต่ก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้เห็นอีก ที่สำคัญไม่มีเสียงร้องที่จะทำให้ใจของผมฝ่อลง

ผมมารู้เอาทีหลังจากการอ่านหนังสือ หลังจากเหตุการณ์ที่ แม่ จะต้องล้มป่วยครั้งใหญ่ที่จะเกิดในลำดับต่อจากนี้ไปว่า ฝีที่เกิดบนหัวของ แม่นั้นเรียกว่า ฝีฝักบัว ซึ่งการเกิดของฝีชนิดนี้มันเป็นการส่งสัญญาณถึง การที่มีโรคภัยบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาสู่ร่างกายของ แม่ เสียแล้ว

แม่::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

ตอน แม่ของผมล้มป่วย คุณหมอช่วยที

แม่ มีอาการดีขึ้นหลังจากที่หมอผ่าฝีที่หัวออกไป จนแผลแห้ง ความเจ็บปวดก็ทุเลาลงจนหายเป็นปกติ กิจกรรมต่าง ๆระหว่างผมกับแม่ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม เพียงแต่จะลดความเข้มข้นลงไปหน่อย แทนการเดินออกกำลังกายในระยะทางไกล ๆ ก็ปรับให้ใกล้ลงหน่อย แต่เปลี่ยนสถานที่สลับไปมาไม่ให้น่าเบื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ที่ แม่คุ้นเคย เช่นวัด สถานีรถไฟ ตลาดสด บ้านคนเก่าแก่ที่ แม่ คุ้นเคย บางครั้งก็นั่งรถไปชายแม่น้ำ แล้วพากันเดินเล่นสักพักก็นั่งรถกลับบ้าน เพราะงานที่ร้านของผมเป็นงานกลางคืน ช่วงกลางวันผมจะกลับมานอนที่บ้านของ แม่เคยชวนให้ แม่นอนพักในตอนกลางวันบ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล อย่างเก่งก็นั่งหลับบนโซฟาหน้าทีวี ทั้งวัน แม่ มีกิจส่วนตัวให้ทำแก้เหงา ตากพริกบ้าง ลอกสายไฟฟ้าเพื่อเอาทองแดงมาขาย หรือไม่ก็จะไปเก็บใบผักกาดขาวมาลอกเอาแต่ก้าน นำมาตากแดดเพื่อทำ ตังฉ่าย ซึ่งงานแต่ละอย่างก็สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับ แม่ มันดูเหมือนไม่มากหรอก แต่สำหรับคนในวัยเดียวกัน แม่ทำได้ดีทีเดียวล่ะ
 
ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเดินทางไปไหนไกล ๆ ถ้ามีเหตุที่จำเป็นก็จะนึกถึง แม่ซึ่งก็มีไม่กี่ครั้งที่ผมจะมีโอกาสได้พา แม่เที่ยว เราเคยชวนกันไปที่ พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดไตรมิตร และวัดสวย ๆในกรุงเทพฯ ไปสวนสัตว์ ซึ่ง แม่จะชอบมาก แต่จะเลือกดูแต่สัตว์สวย ๆ ผมเป็นคนกลัวงู แต่ก็ชอบดู แต่ แม่ไม่ชอบเลยจะคอยดึงแขนผมให้พาไปดูสัตว์อื่นแทน ในช่วงที่มีพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลพระบรมศพของสมเด็จย่า สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ผมพา แม่ ไปจนถึงหน้าพระที่นั่งที่ประดิษฐานพระบรมศพแล้ว ชวนให้ แม่ เข้าไป แต่ก็ไม่ได้เข้า เพราะ แม่ บอกว่าใส่กางเกงมันดูไม่เรียบร้อย คราวหลังจะพามาที่นี่ต้องบอกก่อนนะ ผมพยายามบอกว่า ไม่เป็นอะไร คนแก่เขาไม่ว่าหรอก แม่ก็ยังไม่ยอมยกมือไหว้อยู่หน้าพระที่นั่งนั้นแทน และได้แต่บ่นว่าเสียดายจัง
 
แม่ ไม่เคยเรียกร้องให้ลูกคนไหนก็ตามให้พาไปเที่ยวที่ไหนเลย แล้วแต่ว่าใครจะพาไป และไม่ทุกครั้งที่ แม่จะไปด้วย แม่อาจปฏิเสธถ้ารู้ว่าจุดหมายปลายทางว่าเป็นที่ไหน มีอยู่ครั้งเดียวที่ แม่ เคยบอกกับผมว่า อยากไปชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งราชบุรี ผมยังนึกเสียดาย และรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ที่ไม่ได้พา แม่ไปเที่ยวในที่ที่ แม่ร้องขอด้วยตัวของผมเอง….
ผมจะออกเดินทางด้วยสาเหตุที่ว่า มีเรื่องธุระสำคัญจำเป็น หรือไม่ก็เพราะมีเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจ วันนั้นผมกลับมาที่บ้านค่อนข้างดึกมาก และรู้ข่าวที่ทำให้ผมตกใจก็คือเรื่องที่ แม่ล้มฟุบไปในห้องน้ำ และถูกนำส่งโรงพยาบาล ผมจึงรีบตรงไปยังห้อง ICU ของโรงพยาบาลทันที จึงได้รู้ว่า แม่น็อคน้ำตาลอันเนื่องมาจากโรคเบาหวาน ทั้ง ๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยตรวจพบว่า แม่ มีภาวะของโรคเบาหวานอยู่เลย ผมเข้าเยี่ยม แม่ ที่เตียง และเห็นว่ามีอาการปากเบี้ยวผิดรูป และยังไม่รู้สึกตัวเลย เรารอจนอาการของ แม่ดีขึ้น และย้ายจากห้อง ICU มายังห้องพิเศษของโรงพยาบาลแทน อาการปากเบี้ยวยังคงปรากฏอยู่ แต่ที่สำคัญก็คือ แม่ไม่สามารถทรงตัวได้เลย ต้องนอนอยู่แต่บนเตียงเพียงอย่างเดียว การกินอาหาร การทำความสะอาดร่างกาย การขับถ่าย ทำได้แค่บนเตียงนอนเท่านั้น
 
อาการของ แม่ดีขึ้น แต่ไม่มีที่ท่าว่าจะกลับมาเป็นปกติเลย ต้องนอนติดเตียงอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นนานเกือบเดือน แผนการรักษาคือ การทำกายภาพบำบัด แต่เพราะปัญหาการทรงตัวของ แม่ เป็นอุปสรรคมากเลย เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง คำแนะนำต่าง ๆถูกส่งผ่านมาจากหลาย ๆด้าน หลาย ๆคน จนพวกเราตัดสินใจพา แม่ มาพบคุณหมอทางสมองชื่อดังที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านสีลม กรุงเทพฯ หลังจากที่คุณหมอตรวจอย่างละเอียดแล้ว ได้แจ้งให้พวกเรารู้ว่า ปัญหาการทรงตัวของ แม่นั้นเกิดจากน้ำในสมองของ แม่ไม่ไหลเวียนลงสู่ช่องท้องอย่างเป็นปกติ จำเป็นต้องผ่าตัดต่อท่อให้น้ำจากสมองไหลเวียนลงสู่ช่องท้อง ซึ่งคนแก่เป็นกันมาก คุณหมอบอกว่า อย่าได้ตกใจเลยเพราะหมอรักษาผู้คนด้วยวิธีนี้ให้กับคนแก่มานับพัน ๆคนแล้ว คุณหมอเย้า แม่ ว่าอยากหายป่วยหรือเปล่า แม่ บอกว่าอยากหายป่วย อยากเดินได้ คุณหมอช่วยฉันด้วยนะ….
การผ่าตัดดำเนินไปอย่างเรียบร้อยดี หลังผ่าตัดใหม่ ๆ แม่จะต้องนอนโดยในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ให้หัวสูงกว่าเท้าเสมอ ระหว่าง admit ในโรงพยาบาล แม่จะได้รับการรักษาทั้ง ทางด้านสมอง อายุรกรรม และการทำกายภาพบำบัด ไปพร้อม ๆกัน ทำอย่างนี้อยู่อีกนานหลายวันกว่าจะได้กลับบ้าน ผมรู้สึกเบาใจขึ้นมาก ด้วยหวังว่า ความเป็นปกติสุขกำลังกลับคืนมาสู่ครอบครัวของเราในไม่ช้านี้ ….

แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

ตอน พ่อ แม่ ที่แก่เฒ่า หวังได้เจ้าช่วยดูแล

เมื่อครั้งที่ แม่ยังแข็งแรงอยู่นั้น ผมไม่เคยมีแผนอยู่ในหัวเลยว่า ผมจะต้องทำอะไร หรือ จะทำอะไรได้บ้าง ถ้าหากมีสมาชิกในบ้านของเราเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่ แม่ เกิดล้มป่วยครั้งใหญ่ในคราวนี้ ในช่วงแรกผมรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตของผมจะไม่เป็นปกติเสียแล้ว และผมยังรู้สึกว่าจะต้องสูญเสียชีวิตส่วนตัวหลาย ๆด้านไปอีกด้วย ผมเริ่มจากการหาหนังสือเกี่ยวกับโรคเบาหวานมาอ่าน เพื่อหา สาเหตุ อาการ อาหาร และ การดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ทำให้ผมได้รู้ว่าร่างกายของ แม่ ได้ส่งสัญญาณมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน ไม่ว่าอาการปัสสาวะบ่อย หน้าซีด เหน็ดเหนื่อยเร็ว การมีฝีฝักบัวที่หัว หากใครก็ตามที่มีผู้สูงอายุอยู่ในบ้าน โปรดหมั่นพาพวกท่านไปตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำ และคอยสังเกตอาการที่ผิดปกติต่าง ๆ อาการเหล่านั้นจะเป็นสัญญาณเตือน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็น
 
ผมเริ่มร้องขอให้เร่งช่างที่กำลังตบแต่งบ้านหลังใหม่ให้แล้วเสร็จโดยไว จนทันฉลองวันคล้ายวันเกิดของ แม่และทำบุญขึ้นบ้านใหม่ไปด้วยพร้อม ๆกัน ญาติพี่น้องทั้งทางฝ่าย พ่อ และฝ่าย แม่ รวมถึงเพื่อนบ้านได้มาในงานกันอย่างคับคั่ง แม่ ได้ทำบุญ และบริจาค ดูเหมือนว่าในวันนั้น แม่มีความสุขมากเลย จากนั้นผมก็พา แม่ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่เป็นการถาวร บ้านใหม่ของเราไม่ได้อยู่ใกล้ตลาดเหมือนบ้านหลังเก่า แต่ก็กว้างขวาง และสะดวกสบายมากกว่า พี่สาวของผมจะทำหน้าที่ดูแล แม่ในช่วงหัวค่ำ จนถึงช่วงสาย ๆของวันรุ่งขึ้น ส่วนผมจะไปเปลี่ยนหลังจากเสร็จงานตอนสาย ๆแล้วไปจนถึงช่วงหัวค่ำแทน ถึงตอนนี้สิ่งที่เป็นกังวลในตอนแรกที่ว่าผมจะต้องสูญเสียชีวิตส่วนตัว และสิ่งอื่น ๆก็ลดน้อยลงไป เพียงแต่ตารางกิจกรรมของผมมันจะดูหนาแน่นขึ้นมากกว่าเดิมก็เท่านั้นเอง
 
ผมพยายามที่จะทำให้ แม่ รู้สึกว่ามีชีวิตปกติ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ที่บ้านหลังเก่า การเดินออกกำลังกายก็ยังคงมีเหมือนเดิม แต่จะทำในระยะทางที่สั้นลง จากที่ แม่ เป็นคนลงมือปรุงอาหารเอง ก็เปลี่ยนมาเป็นคนสั่งว่า วันนี้อยากจะกินอะไรแทน ส่วนผมก็จะลงครัวทำหน้าที่ พ่อครัวหัวป่าก์  ในมื้อเย็นบางวันเราจะพา แม่ ไปกินอาหารตามร้านต่าง ๆ หรือไม่ก็จะพานั่งรถมาที่บ้านหลังเก่า และร้านของเราที่ตลาด เพื่อไม่ให้ แม่รู้สึกเหงา และเบื่อ การเดินทางไกล ๆก็มีเพียงการไปโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ตามที่คุณหมอนัด
 
แม่ พูดน้อยลง และชอบนอนมากขึ้น ซึ่งคุณหมอทางสมองท่านนั้นแนะนำ ให้ปรับพฤติกรรมการนอนของ แม่เสียใหม่ อย่าให้นอนมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นแล้ว จะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบความจำ สมองเสื่อม นาฬิกาชีวิตไม่ทำงาน คือไม่รู้ว่าควรจะนอนตอนไหน และตื่นตอนไหน ซึ่งอาการหลง ๆลืม ๆก็เริ่มปรากฏให้เห็นอยู่บ้างแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมคิดหนักมากว่าจะมีวิธีใดที่จะทำได้ตามที่คุณหมอแนะนำ …..

แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

ตอน แม่ครับ ผมขอโทษ

ผมใช้เวลาไม่นานนักในการหาวิธีที่จะทำไม่ให้ แม่ นอนทั้งวันทั้งคืนอย่างที่เป็นอยู่ โดยที่ผมยังมีเวลาพักผ่อนได้อีกด้วย ซึ่งบางวิธีก็ใช้ได้ดี บางวิธีก็ทำให้ แม่ เคลิ้มและหลับเร็วขึ้นกว่าเดิม ผมเริ่มจากเปิดเครื่องเล่น CD เพลงที่ผมคิดว่า แม่จะต้องชอบ ปรากฏว่าตอนแรกก็ฟังดี ๆอยู่หรอกครับ พอไปสักครึ่งเพลง ก็ค่อย ๆหลับตาลง แต่ก็ยังผงกหัวไปตามจังหวะเพลง ผมก็คิดว่าก็ยังดีที่ไม่ได้หลับ แต่ยังไม่ทันจบเพลงเลยครับ แม่ของผมก็ได้หลับลงไปอย่างรวดเร็ว ตัวพับตัวอ่อนอยู่บนเก้าอี้นั่นแหละ ผมก็จำต้องพาไปนอนให้สบายบนเตียงแทน
 
ช่วงนั้นมีละครตอนบ่ายที่นำมาฉายวนซ้ำ เรื่องบ้านทรายทอง เป็นเรื่องที่ แม่คุ้นเคย และดูมามากมายหลาย version  หลังกินข้าวกลางวันเสร็จ ผมก็แกล้งถามว่า วันนี้มีละคร เรื่องบ้านทรายทอง จะดูไหม เมื่อตกลงใจว่าจะดูกัน เราก็พากันมานั่งหน้าทีวี ดูนั่นดูนี่ และพูดคุยอุ่นเครื่องกันไปก่อน กว่าละครจะมา แม่ก็ต้องลืมตารอ บางทีผมก็จะหลอกให้ เล่าตอนก่อนให้ฟัง ผมมีเตียงพับเล็ก ๆอยู่ตัวหนึ่งผมก็เอามากางนอนรอข้าง ๆโซฟาที่ แม่นั่งอยู่หน้าทีวี เผื่อว่าถ้าหากผมหลับไป แม่จะได้เรียกผม ถ้าต้องการจะเอาอะไร เมื่อละครมา ผมก็จะปล่อยให้ แม่ ดูไป ส่วนผมก็จะนอนหลับแทน แต่ก่อนจะนอน ผมก็จะบอก แม่ ว่าขอนอนก่อนนะ ให้เล่าให้ฟังด้วยนะว่าถึงตอนไหนแล้ว บางบ่ายผมนอนไปนาน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ผมยังได้ยินเสียง แม่เล่าเรื่องบ้านทรายทองนี้อย่างเป็นตุเป็นตะอยู่เลย ผมกลัวจะเหนื่อยมาก เลยพาเข้านอนสักพักก่อนที่พีสาวกลับมา ละครบ้านทรายทองนี้ ช่วยให้ผมสบายมากเลยในช่วงนั้น แต่ถ้าละคร จบบริบูรณ์ลงแล้ว ผมจะทำอย่างไรดีหนอ ….
วันหนึ่งผมกลับมาที่บ้านด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่พูดไม่จา จนถูกถามด้วยเสียงนุ่ม ๆ ปนความกังวลใจว่า เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า ผมได้ที ก็เริ่มวิชามารของผมทันที ด้วยการวางปึกบัญชีไปตรงหน้าของ แม่ แล้วบอกว่า ให้คนไปเก็บเงิน แต่ลูกค้าไม่ยอมจ่าย บอกว่าต้องมีลายเซ็นของ แม่ด้วยถึงจะยอมจ่าย แล้วหยอดไปอีกหน่อยว่า จะมีคนใจดีเซ็นให้มั้ยน๊า  แม่ตกลงใจที่จะต้องทำงานหลอก ๆให้กับลูกชายเลว ๆในทันที ….ผมรอให้ แม่กินกลางวันเสร็จก่อนพอบ่ายแก่ ๆ ผมก็เอาบัญชีเก่า ๆที่ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว ซึ่งผมเตรียมมาเป็นถุงใหญ่ ๆเลย มาวางที่โต๊ะบัญชีตรงหน้าสตรีผู้เรืองอำนาจที่กำลังนั่งรออยู่ ผมส่งปากกาอย่างดีให้ แม่ อย่างนอบน้อม  รหัสลับที่ไม่มีใครอ่านออก ก็ถูกเขียนลงบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า ปึกแล้วปึกเล่า ที่ดูว่าจะไม่จบสิ้นเอาง่าย ๆ ก็โธ่ เขียนบรรจงซะขนาดนั้น พรุ่งนี้ก็ยังไม่เสร็จ ส่วนตัวผมก็ไปหยิบเตียงพับตัวเก่ามากาง แล้วก็นอนสบายใจอยู่ข้างโต๊ะบัญชีนั่นแหละ บัญชีที่เขียนเสร็จแล้วจะถูกโยนมาวางไว้บนตัวผม ถ้าผมยังไม่หลับก็จะแกล้งเปิดดู แล้วติโน่น ตินี่ไปเรื่อยเปื่อยเพื่อหาเรื่องให้ แม่ เอาไปเซ็นใหม่ให้ได้ บางวันผมตื่นขึ้นมา มีกระดาษแปะอยู่ตามตัวผมเต็มไปหมด ที่ปิดหน้าปิดตาผมก็หลายปึกอยู่ พอแหวกกองกระดาษลุกขึ้นมาได้  อ้าว!! ชิบหแระ แม่กุ ฟุบหลับน้ำลายไหลยืด อยู่บนโต๊ะบัญชีซะงั้น ทั้งขำ และทั้งสงสาร ผมลุกขึ้นมา กึ่งอุ้มกึ่งลากเอา แม่มานอนบนเตียงแทน นี่ถ้าใครมองเข้ามาในบ้านก็คงจะด่าผมว่า ดูมันซิ!! มันปล่อยให้ แม่มันนั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ ส่วนมันนอนสบายอยู่บนเตียง เอากระดาษหนังสือพิมพ์ปิดตามตัว สงสัยตายห่ไปแล้วมั้ง ….ไอ้ลูกเอี้ยยย….
เรื่องนี้ไม่ได้จบง่ายดายอย่างนั้นหรอกครับ ผมยังคงหลอกล่อให้ แม่เซ็นรหัสลับลงบนกระดาษอยู่เรื่อยมา จนวันหนึ่ง แม่ถามผมว่า เอาบิลไปเก็บเงินมาได้หรือเปล่า ผมก็หลงกลตอบไปว่า เอ๊า!!! ก็ต้องได้สิ  แม่ บอกผมให้ผมไปเอาเงินมาเพื่อจะนับเงินให้ ก็เดือดร้อนผมสิครับ ผมจึงนำเงินมาประมาณ หนึ่งหมื่นบาท เลือกเอาเฉพาะแบงค์ยี่สิบ กับแบงค์ห้าสิบใส่ไว้ในตะกร้า แล้วยี ๆให้มันผสมปนเปกันเป็นกองใหญ่ ๆ จับ แม่ นั่งกับพื้นบ้านให้หลังพิงกับโซฟาหน้าทีวี คราวนี้ผมเตรียมพร้อม ทั้งหมอนและผ้าห่มสำหรับตัวผมชุดหนึ่ง และสำหรับ แม่ ไว้อีกชุดหนึ่ง รัฐบาลบอกว่า เงินจะหมุนไปหมุนมาอยู่ได้ประมาณ 7 รอบ ดังนั้นผมจะต้องทำให้ แม่ นับเงินจำนวนนี้ให้ได้ 7 รอบเช่นกัน แม่จะเรียงเงินเป็นปึกละร้อย แล้ววางไว้ข้างตัว ส่วนตัวผมก็จะนอนอยู่อีกข้างหนึ่ง พอเงินที่เรียงไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วมีจำนวนมากพอสมควร ผมก็จะค่อย ๆเอื้อมมือไปหยิบมา แล้วแอบมายีใหม่ให้เป็นใบ ๆอยู่ด้านหลังของ แม่  จากนั้นก็นำมาใส่ตะกร้าที่อยู่ข้างหน้า ผมก็นอนทำอย่างนี้จนผมง่วง และหลับไป ส่วน แม่ก็ยังคงต้องนับเงินนี้ต่อไปอีกนาน แต่ผมยังไม่เคยได้เห็นว่า แม่ นับเงินได้จนหมดตะกร้าสักที ได้แต่เห็นว่า แม่ นอนหนุนหมอนสบายอยู่ข้าง ๆตัวผม และกองเงินนั่นแหละ เรียกว่านอนอยู่บนกองเงิน กองทองทั้ง แม่ และ ลูกกันเลยล่ะครับ เจ้านายยย…..
และแล้วผมก็ค้นพบวิธีที่จะทำให้ แม่ ตาสว่างได้อย่างยาวนานเข้าจนได้ ถ้าเย็นวันไหนก็ตามที่ แม่ดูสดชื่นแจ่มใสดี ผมจะพานั่งรถมาที่ร้านของเราในตลาด พอกินมื้อเย็นเสร็จ ผมก็ให้ตั้งโต๊ะ ชักชวนทั้งลูกน้อง เพื่อนบ้านที่สนิทมาล้อมวงกัน ป๊อกเด้งน่ะสิครับถามได้ งานนี้เรียกได้ว่า ลืมง่วง กันเลยทีเดียว

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมได้ทำไปทั้งหมดนี้ จะสร้างบาปเคราะห์ให้กับผมมากน้อยสักเท่าไร แม่ก็จากไปเสียนานแล้ว ที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ผมขออโหสิกรรม และอยากบอกดัง ๆว่า แม่ครับ ผมขอโทษ

แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

ตอน ผมรู้แล้วว่า ….

ระยะหลัง แม่จะมีอาการหลงลืมมากขึ้น บางวันก็จะง่วงทั้งวัน แต่บางวันก็สดชื่น และพูดคุยได้ทั้งวัน ครั้งหนึ่งมีคนมาเยี่ยมอยู่มากหน้าหลายตา  แม่จะจำได้หมดทุกคน ซึ่งบางคนผมไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ เวลาลูก ๆที่อยู่ห่างไกลมาหา แม่ ก็จะจำได้ทุกคน หลังจากที่ทุกคนกลับไปหมดแล้ว ผมก็นั่งคุยด้วยไปเรื่อย ๆอย่างสนุกสนาน แต่สักพัก แม่ ก็หันมามองผม แล้วถามผมว่า อ้าว!! แล้วแกเป็นใครล่ะ ผมงงอ้าปากค้างเลย ตอนแรกนึกว่าถูกอำ ต้องอธิบายให้ฟังอย่างยาวนาน แอบน้อยใจนิด ๆว่า เราดูแลมาทั้งวัน ทุกวันแท้ ๆ แต่จำไม่ได้ แต่กับลูกคนอื่น ๆนาน ๆมาหาทีกลับจำได้หมดทุกคนเลย ระยะหลังมีหลานตัวน้อย ๆมาอยู่ที่บ้านอีกหลายคนทำให้บ้านดูสดใสขึ้น แม่ ก็คงมีความสุขมากขึ้น
 
ผมไม่ค่อยจะร่วมโต๊ะกินข้าวกับใคร ยกเว้นกับพ่อ และ แม่  กับคนอื่น ๆผมมักจะคอยแอบฟังเสียงช้อนกระทบกับจานกระเบื้อง กุ๊กกิ๊ก ๆ ผมก็มีความสุขแล้ว  ผมพยายามจะทำกับข้าวให้ แม่ กินให้ได้ทุกมื้อ ก็ไม่ค่อยสนใจอะไรมาก กับข้าวที่สมควรจะใส่จาน ผมก็เอาไปใสชาม บางทีก็เป็นจาน ชามพลาสติก บางอันก็เก๊าเก่า ร้าวก็มี ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนวันหนึ่งผมมาจัดข้าวของที่พี่สาวซื้อมามากมายวางระเกะระกะเต็มไปหมด ก็มาเจอหม้อกระเบื้องอันเล็ก ๆ และมีจานกระเบื้อง ชามกระเบื้อง ช้อนกระเบื้องที่เข้าชุดกัน ก็คิดในใจว่าจะซื้อมาทำไม๊ ใช้ก็ไม่ใช้ วางเละเทะเต็มไปหมด ก็ถือโอกาสขโมยมาไว้ที่บ้าน แม่เสียเลย วันรุ่งขึ้นผมจำได้ว่าเป็นมื้อกลางวัน ผมทำกับข้าวไว้สามอย่าง มีเนื้อหมูสันในทอดกระเทียมพริกไทย เต้าหู้ทรงเครื่อง และแกงจืดอะไรสักอย่างที่ผมนึกไม่ออก ผมตักหมูทอดใส่จานเปลกระเบื้อง เอาเต้าหู้ทรงเครื่องใส่จานกระเบื้อง และแกงจืดใส่หม้อกระเบื้องใบเล็ก ๆใบนั้น แล้วเอาไปวางที่โต๊ะกินข้าว ที่ แม่ นั่งรออยู่แล้ว ผมก็นั่งรอก็ไม่เห็น แม่ กินข้าวสักที แกนั่งมองกับข้าวแล้วก็ยิ้ม ผมจึงถามว่า “อ้าว!แม่ไม่เห็นกินข้าวหละ” แม่ ยิ้มและบอกมาว่า “น่ากิน จานสวยจัง” ผมรู้สึกดีใจ และมีความสุขที่ทำให้ แม่ พอใจ หลังกินข้าว กินยาเสร็จแล้ว ผมพาแกมานั่งเล่นอีกที่หนึ่ง กำลังจะลุกมาล้างจาน แม่คว้าแขนผมไว้แล้วถามผมว่า “ชื่อเล่นผมรักแม่ไม๊” ผมอึ้งไปแวบหนึ่งก่อนจะรีบตอบแบบขึงขังว่า “เอ๊า! รักสิแม่” บอกผมกลับมาว่า “แม่รู้” ผมเดินมาล้างจานแบบงง ๆ ผมจำได้ว่า  แม่ เคยถามผมแบบนี้ตอนผมยังเป็นเด็กน้อย และตั้งแต่ผมโตเป็นหนุ่มจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ไม่เคยถามผมอย่างนี้เลย ฉากแบบนี้ไม่เคยมีเอาซะเลยระหว่างเรา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมจะเตรียมถ้วยชามชุดโปรดของ แม่ไว้สำหรับอาหารในมื้อกลางวัน ซึ่งเป็นความลับเล็ก ๆของเราสองคน ส่วนมื้อเย็นสมาชิกมากขึ้น ผมก็หาใส่ตามมีตามเกิด ผมเชื่อว่าในมื้อเย็นความสุขของ แม่ ไม่ได้อยู่ที่ได้มองอาหารในถ้วยสวย ๆอีกต่อไป แต่อยู่ตรงที่ได้มีลูกหลานมาแวดล้อม และที่ได้เห็นลูกหลานเจริญเติบโตอย่างมั่นคงก้าวหน้า และปลอดภัย และในทุก ๆมื้อเย็นผมยังคงหาความสุขได้จากการแอบฟังเสียงช้อนที่กระทบจานกระเบื้องดัง กุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆอยู่เหมือนเคย
 
ถ้าคุณมีโอกาสได้ดูแลบิดา มารดาที่แก่เฒ่า และมีอาการหลงลืม คุณอาจต้องลำบากมากขึ้นอีกนิด แต่คุณรู้ไหมครับว่า บางครั้งอาการหลงของพวกเขานั้น สามารถบอกเรื่องราวความในใจของผู้เฒ่าเหล่านั้น ที่อาจทำให้คุณซาบซึ้งใจจนน้ำตาซึมได้เลยทีเดียว ในเรื่องเล่าต่อไปนี้ ผมอาจจะเขียนถ่ายทอด ให้คุณได้มีความรู้สึกเหมือนที่ผมได้รับ ได้ไม่ดีนัก แต่ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้เป็นกำลังใจ ให้กับใครก็ตามที่มีคนแก่ คนเฒ่าอยู่ในบ้านให้คุณต้องดูแล
 
ตอนบ่ายแก่ ๆ ผมล้มตัวลงไปนอนหลับบนเตียงที่ แม่ กำลังหลับอยู่ข้าง ๆ สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่าเหมือนมีมือมาดันขาของผมไม่ให้ขวางทาง ผมลืมตาขึ้น เห็นว่า แม่ ขยับตัวจะลงจากเตียง แต่ลงไม่ได้ เพราะผมมักจะนอนขวางอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ผมถามขึ้นเพราะเข้าใจว่าแกจะไปเข้าห้องน้ำ ขาของผมยังคงถูกดัน พร้อมเสียงขอร้องให้ผมหลีกทางให้ ผมถามอีกว่า จะไปไหนหรือ เดี๋ยวจะพาไป  แม่ บอกว่า ฉันจะไปซักผ้า ผมก็นอนขำ แล้วบอกว่า ไม่ต้องหรอก จ้างเขาซักเรียบร้อยแล้ว จะไปซักผ้าทำไมล่ะ ผมได้รับคำตอบ และคำร้องขอว่า ให้ฉันไปเถอะนะ ฉันจน ฉันจะไปรับจ้างซักผ้า ผมตกใจนิด ๆ รีบลุกขึ้นไปกอด แม่อย่างเบามือ หูก็คอยฟังเสียงที่ยังคงพร่ำขอว่า  ฉันมีลูกเล็ก ๆอยู่หลายคนนะ ฉันจะได้เอาตังไปซื้อข้าวมาหุงให้ลูกกิน ให้ฉันไปนะ แม่มีทีท่าจะร้องไห้ที่มีคนเกเรอย่างผมไปขวางทาง ผมรีบพา แม่ ออกมาจากห้อง แล้วพาไปนั่งที่โซฟาข้างนอก ผมต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เพื่อจะอธิบายกับ แม่ ให้เชื่อว่า ผมเป็นลูกชายที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และกำลังทำหน้าที่ดูแล แม่ ของเขาอยู่ ไม่ใช่ลูกน้อย ๆที่ต้องให้เป็นห่วงอีกต่อไปแล้ว ผมได้บอกต่อไปอีกว่า พวกเราไม่ได้ยากจนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว บ้านที่เรานั่งอยู่นี้ก็เป็นบ้านใหม่ของ แม่เอง ไม่ใช่บ้านของคนอื่นเลย ผมเอาน้ำให้ดื่ม แล้วพาออกมานอกบ้าน เดินไปรอบ ๆรั้วบ้าน และอธิบายลักษณะของบ้าน ขนาดของมัน เพื่อจะได้ยืนยันว่าเป็นบ้านของเราจริง ๆ ผมชวน แม่เดินขึ้นไปบนชั้นสอง และ ชั้นสาม เปิดห้องทุกห้อง และพาดูทุกซอกทุกมุม แล้วจึงกลับลงมานั่งพักที่ชั้นล่าง ถึงแม้ว่า แม่ จะดูเหน็ดเหนื่อย แต่ก็มีสีหน้าที่แจ่มใส สบายใจ เย็นวันนั้นหลังจากหลาน ๆตัวน้อย ๆ กลับมาจากโรงเรียน และพี่สาวกลับมาถึงบ้านแล้วพวกเราก็พากันมากินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ แม่ เพิ่มขึ้นอีกว่า แม่ ไม่ต้องทุกข์ยาก ลำบากใจกับการหาเงินมา เพื่อใช้เลี้ยงดูลูก ๆอีกต่อไปแล้ว แต่จงมีความสุขที่ได้เห็น หลานตัวน้อย ๆที่จะกำลังเจริญเติบโต และเบ่งบาน สืบทอดรากเหง้า ของตระกูลของเราให้ยั่งยืนต่อไป …..
ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายนักกับการที่มีคนเฒ่า คนแก่ ที่เจ็บป่วยอยู่ในบ้านให้เราต้องคอยห่วงใย ดูแล  แต่ใครก็ตามที่โชคดีมีโอกาสได้ทำสิ่งนี้ ต่อบุพการีของคุณอยู่ โปรดได้รับคำชื่นชม คำสรรเสริญ และคำอวยพร จากผมด้วย หากแม้ว่าคุณกำลังท้อแท้ เหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ขอจงรับรู้ด้วยเถิดว่า ผมเป็นแฟนคลับตัวยงของคุณอีกคนหนึ่ง ที่จะคอยให้กำลังใจคุณ และเฝ้าเชียร์คุณอยู่อย่างเหนียวแน่น และมั่นคง รอดูจนกว่าที่คุณจะสามารถไขว่คว้าเอาเหรียญทองที่ลูกอย่างคุณพึงจะได้รับ …  และโปรดเชื่อผมเถอะครับว่า เมื่อเวลาเนิ่นนานผ่านไป ให้คุณได้ระลึกนึกถึง คุณจะได้รับความรู้สึกเช่นเดียวกับผมเลยครับว่า ช่างเป็นบุญนักหนาของเราเลยทีเดียว ที่เราได้ปรนนิบัติ ดูแลบุพการี
 
ถึงตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า จะเลือกสรรเอาคำไหน เพื่อจะนำเอามาต่อท้ายชื่อหัวข้อที่ผมละเอาไว้เป็น ….. คำว่า รัก หรือ เป็นห่วง หรือ รับผิดชอบ หรือ …. คำไหนดี คุณช่วยผมนึก หรือบัญญัติคำศัพท์ใหม่ให้ผมหน่อย และช่วยเขียนเติมคำนั้นลงไปในหัวข้อให้ผมด้วยนะครับ
แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม ตอน ผมรู้แล้วว่า แม่ ………. ขอบคุณครับ ฝันดีราตรีสวัสดิ์

 

 

One thought on “แม่ ::: บุคคล VIP ในชีวิตของผม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *