กาเหว่าที่บางเพลง บทประพันธ์ของ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนขึ้นครั้งแรกในปี 2530 บนหนังสือพิมพ์ สยามรัฐรายวัน โดยลงเป็นตอน ๆต่อเนื่องกัน และถูกนำมาตีพิมพ์เป็นรูปเล่มในปี 2532 มีเค้าโครงเรื่องเหมือนกับ บทประพันธ์ของ จอห์น วินด์แฮม ในเรื่อง The Midwich Cuckoos ที่ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี 2500
ทำความรู้จัก กาเหว่าที่บางเพลง
ผ่านต้นฉบับอย่าง The Midwich Cuckoos
เอกลักษณ์ในบทประพันธ์ของ จอห์น วินด์แฮม จากนวนิยายหลาย ๆเล่มที่ผ่านมา จะเน้นให้เห็นถึงความตึงเครียด ระหว่างคนส่วนใหญ่ กับชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่มีความยากลำบาก ดังเช่นว่า กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ตาบอด ตกเป็นเหยื่อของคนกลุ่มน้อยที่มองเห็น เมื่อมนุษย์ถูกโจมตีด้วยพืชพันธ์แปลก ๆที่กินเนื้อ ในนวนิยาย The Days of the Triffids หรืออย่างใน Chrysalids ที่ปรากฏการณ์นิวเคลียร์ ที่ทำให้เกิดการกลายพันธ์ เป็นที่มาของความขัดแย้ง ของมนุษย์เผ่าพันธุ์บริสุทธิ์ กับพวกที่กลายพันธ์ และใน The Midwich Cuckoos ก็คล้ายกันเมื่อ กลุ่มเด็กในหมู่บ้านที่ถูกมองอย่างแปลกประหลาด สร้างความขัดแย้งกับ คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่น่าสลดใจ
จอห์น วินด์แฮม เขียนเรื่องนี้ในช่วงที่สงครามเย็นมีความรุนแรงมาก จึงหนีไม่พ้นที่จะสอดแทรกความคิดเหล่านี้ และให้มันเป็นส่วนหนึ่งในความขัดแย้ง ในขณะที่คุณชายคึกฤทธิ์ ทำให้ กาเหว่าที่บางเพลง มีกลิ่นอายไทย ๆ สมัยเก่าก่อน อันเป็นเสน่ห์ประจำตัวของผู้เขียน ที่มักมีอยู่ในผลงานส่วนใหญ่ของท่าน ที่จะสอดแทรกเรื่องราว วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ประเพณี ศิลปะ และวัฒนธรรมของคนไทยในสมัยเก่า ๆ ด้วยภาษาสละสลวย และเข้าใจง่าย ที่แม้เมื่ออ่านแค่ตัวอักษร แต่ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีคนเล่าให้ฟัง
ด้วยเหตุที่ The Midwich of Cuckoos และ กาเหว่าที่บางเพลง มีเค้าโครงเรื่องเดียวกัน จะแตกต่างกันอยู่บ้างตรงที่เป็น กลิ่นไอของชนบทในอังกฤษ กับความเป็นอยู่ในท้องถิ่นไทย หรือสาเหตุความขัดแย้งของตัวละครในเรื่องที่แตกต่างกัน และในขณะที่ จอห์น วินด์แฮม จบเรื่องราวของนวนิยายได้อย่างดุดัน คุณชายก็ให้นวนิยายสิ้นสุดลงได้อย่างน่าเศร้า และชวนให้ซาบซึ้ง ในรายงานฉบับนี้ ผมมีบทคัดย่อของ The Midwich of Cuckoos ไว้ให้ในย่อหน้าถัดไป ซึ่งเป็นหนังสือที่แม้ว่าจะหาอ่านได้ในไทยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยง่ายนัก อีกทั้งหาฉบับแปลเป็นไทยก็ไม่เห็นมี จึงทำบทย่อคร่าว ๆมาให้อ่านกัน ส่วนคนที่อยากอ่านฉบับเต็ม ลองอ่าน กาเหว่าที่บางเพลง ดู ถือว่าเป็นภาคอวตารของ The Midwich of Cuckoos ได้เลย
เรื่องย่อ The Midwich of Cuckoos
เป็นนิยาย แนววิทยาศาสตร์ แต่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ากำลังอ่านเรื่องสยองขวัญ ที่นักเขียนนิยายแนวนี้หลาย ๆคน ลงความเห็นว่า เป็นนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ แห่งยุคนั้น ที่ต่อมาถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Village of the Damned และอีกครั้งในชื่อว่า Children of the Damned
Cuckoos คือนกที่ไปวางไข่ในรังของนกชนิดอื่น ที่ไทยเรียกว่า นกกาเหว่า ซึ่งในเรื่องนี้เปรียบกับเด็ก ๆต่างเผ่าพันธุ์ มาอาศัยเกิดในท้องของผู้หญิงในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบทของอังกฤษ และถูกเลี้ยงดูด้วยคนที่ไม่ใช่พ่อ แม่แท้ ๆของตัวเอง เด็ก ๆไม่มีความรัก ความผูกพัน และไร้ซึ่งความเอื้ออาทร เป็นเหตุให้เกิดการเผชิญหน้า กับชาวบ้าน เป็นที่มาของความขัดแย้งที่รุนแรง นำไปสู่จุดจบอันน่าสลดใจ
เรื่องย่อ
Midwich เป็นเมืองเล็ก ๆ ในชนบทอันเงียบสงบของประเทศอังกฤษ ในช่วงกลางวันของวันหนึ่ง มีพลังงานลึกลับ ที่มองไม่เห็น เข้าล้อมรอบเมือง ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ชาวเมือง และสัตว์ต่างหมดสติ ซี่งก่อนหน้านั้น กอร์ดอนกำลังพูดโทรศัพท์กับ อลันน้องชายของเขา ที่เป็นนายทหารอยู่ที่ลอนดอน เมื่อกอร์ดอนหมดสติไปเพราะพลังลึกลับ ทำให้การสนทนาขาดตอนลง อลันซึ่งไม่สามารถติดต่อกับใครได้เลยใน Midwich จึงขับรถเข้าไปที่เมือง และพบว่าชาวเมือง ต่างตกอยู่มนต์สะกดเดียวกัน จึงแจ้งไปยังหน่วยงานความมั่นคง ไม่นานนักก็มีทหารมาล้อมเมืองเอาไว้ เพราะเป็นช่วงสงครามเย็นดำเนินอยู่อย่างรุนแรง ในช่วงนั้นมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ดีในไม่นานนัก ชาวบ้านก็ตื่นจากมนต์สะกด กอร์ดอน และแอนเธียภรรยาของเขา ก็ตื่นขึ้นมาด้วยเช่นกัน และพบว่าพวกเขาหมดสติไปหลายชั่วโมง จากคำบอกเล่าของอลัน
ชาวเมืองต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว หมอวิลเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ชาวบ้านอาจกำลังถูกคุกคาม พวก ทหารเข้ามาใน Midwich แต่ก็ไม่สามารถค้นหาสาเหตุได้ แต่เพื่อประโยชน์ทางด้านความมั่นคงของชาติ จึงมีคำสั่งให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด สัปดาห์ต่อมาแอนเธียพบว่าตัวเธอตั้งท้อง และพร้อมกันนั้นผู้หญิงทั้งหมดในเมือง รวมทั้งสาวบริสุทธิ์ก็ตั้งท้องด้วยเช่นกัน โดยไม่ทราบว่ามันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร มีการตั้งสถานพยาบาลสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ เพื่อรองรับเหตุการณ์ ที่นั่น หมอวิลเลอร์ ได้เปิดเผยว่า ทารกที่อยู่ในครรภ์ผู้หญิงทั้งหมดมีพัฒนาการสูงมาก และมันได้สร้างความวิตก และความกลัวต่อการเกิดของเด็ก ๆที่จะมาถึงเร็ว ๆนี้ และความโกลาหลก็เกิดขึ้นเมื่อวันนั้นมาถึง ทารกทุกคนเกิดขึ้นมาไล่เลี่ยกัน ที่แปลกก็คือ ทุกคนล้วนมีผิวขาวซีด ผมสีบลอนด์ และดวงตาสีทองแวววาว หมอวิลเลอร์บอกว่าเด็กทุกคนที่อายุได้สี่เดือน กลับมีพัฒนาการเท่ากับเด็กอายุสิบแปดเดือน หลายเดือนต่อมา กอร์ดอนพบว่าเดวิด ลูกชายที่พิเศษของเขา กับแอนเธีย สามารถแก้ปัญหาปริศนาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแม้แต่อลันเองก็แทบจะแก้ปริศนานั้นไม่ได้ ที่แปลกไปกว่านั้นเขาพบว่า มีเด็กอีกสองคนที่สามารถแก้ปริศนาเดียวกันนั้นได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
กอร์ดอนพยายามเฝ้าสังเกตการเติบโต และพฤติกรรมของเด็กรุ่นนี้ และได้รู้ว่าพวกเขาจะแบ่งปันจิตสำนึกร่วมกัน สามารถสื่อสารกันได้ในระยะไกล แม้ว่าอายุของเด็ก ๆจะอยู่ในวัยหัดเดิน แต่ดูเหมือนกับว่าพวกเขาอยู่ในวัยเรียน เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านจ้องมองการเติบโตของพวกเขาอย่างเป็นกังวล พวกเด็ก ๆแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางด้านกระแสจิต สื่อสารในหมู่พวกเดียวกันเอง ปฏิเสธความรัก และความห่วงใยจากพ่อ และแม่ อลันพยายามเตือนกอร์ดอนเกี่ยวกับเด็ก ๆ ว่าเป็นกลุ่มคนที่อันตราย แต่กอร์ดอนยังคงยืนยันว่า พวกเด็ก ๆเพียงแต่เป็นคนฉลาด ต้องให้การอบรม และสอนให้เข้าใจการมีปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มอื่น
จากนั้นไม่นานคณะกรรมการของรัฐบาล และทหารได้เรียก กอร์ดอน และอลันเข้าพบ และแจ้งให้ทั้งสองรู้ว่า มีชุมชนอื่น ๆอีกเป็นจำนวนมาก ที่ประสบปัญหาคล้ายกับที่เกิดใน Midwich และกระจายลามไปถึงอาณานิคมอื่น ๆของอังกฤษ รวมทั้งทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งที่นั่นมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะแปลกแยกออกไป ได้ถูกสังหาร เนื่องจากชาวบ้านมีความสงสัยในรูปลักษณ์ ที่มีผมสีบลอนด์ และผิวสีขาว ซึ่งแตกต่างจากชาวบ้านทั่ไปที่มีผิวดำ
ทางการแพทย์ที่มี หมอบางคนเชื่อว่า เกิดการก้าวกระโดดในการพัฒนามนุษย์ ในขณะที่แพทย์อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า โลกได้รับแรงกระตุ้น จากพลังงานของสิ่งมีชีวิตในอวกาศ ในเวลาต่อมาเกิดอุบัติเหตุรุนแรงหลายครั้งใน Midwich และคณะกรรมการเชื่อว่า เกิดจากพลังลึกลับของเด็ก ๆ จึงตัดสินให้จำคุกพวกเด็กเหล่านั้น แต่กอร์ดอนได้ขอเวลาหนึ่งปี เพื่อทำการอบรมเด็ก ๆ และติดตามดูพฤติกรรมของพวกเขา
ระหว่างนั้นกอร์ดอนรู้ว่า พวกเด็กมีความสามารถในการอ่านใจคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พวกเขาอีกด้วย พวกเด็กรู้ว่า มีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่ดาวดวงอื่น และกอร์ดอนคิดว่า พวกเด็กวางแผนที่จะเข้าควบคุมโลก ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นใน Midwich ที่เป็นเหตุให้เกิดการแตกหักระหว่างชาวบ้าน กับพวกเด็ก ๆในเวลาต่อมา
ในวันหนึ่ง มีชายชาวบ้านขับรถไปชนเด็กคนหนึ่งโดยบังเอิญ แม้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ได้รับอันตรายอย่างใด แต่กลุ่มเด็กกลับใช้สายตาจ้องมอง และส่งกระแสจิตไปบังคับให้ชายคนดังกล่าว ขับรถชนไปกับกำแพงอิฐ เป็นผลให้เขาเสียชีวิต พี่ชายของคนที่ตายมีความเชื่อว่า พวกเด็กทำให้เกิดการสูญเสียนี้ จึงวางแผนที่จะฆ่าเด็ก ๆทั้งหมด ซึ่งเด็กเหล่านี้ได้รับรู้ถึงความเกลียดชังนี้ จึงใช้พลังของพวกเขา ไปบังคับให้ชายคนนี้ยิงตัวตาย กอร์ดอน อลัน และแอนเธีย ที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย ไม่สามารถหยุดยั้งการตายครั้งนี้ได้ เนื่องจากตกอยู่ในภวังค์ที่เด็ก ๆ ได้สร้างให้กับพวกเขา
ในคืนหนึ่งขณะที่ กอร์ดอน อลัน และหมอวิลเลอร์ กำลังปรึกษาหารือเรื่องของเด็ก ๆ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด พวกเขาได้รับข่าวมาจากทหารว่า กองทัพรัสเซียได้บุกเข้าทำลายล้าง หมู่บ้านของพวกเด็กประหลาด ที่มีลักษณะเดียวกันกับ เด็ก ๆใน Midwich ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มชาวบ้านที่โกรธแค้น มาพร้อมกับคบเพลิง และตรงไปยังบ้านของเด็ก ๆ แต่พวกเด็กกลับทำให้ชาวบ้านกลุ่มนั้นตกอยู่ในภวังค์ และใช้พลังเหนือธรรมชาติ ไปบังคับให้หัวหน้ากลุ่มจุดไฟเผาตัวเองจนตาย
พวกเด็กบอกว่า พวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในรัสเซีย และตัดสินใจว่า พวกเขาจะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กอร์ดอน ถูกเดวิดผู้เป็นบุตรชายของเขา และเป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กประหลาด ชักจูงให้ช่วยเหลือ เดวิดให้เหตุผลว่า มนุษย์มักมีอารมณ์แปรปรวน ซึ่งจะไปขัดขวางความสามารถ ในการใช้พลังพิเศษแบบที่พวกเขามี จึงขอให้กอร์ดอนจัดการให้พวกเด็ก ๆ ได้กระจายตัวออกไปทั่วประเทศอย่างอิสระ และเปิดเผย ภายในวันศุกร์ที่กำลังจะมาถึง
ในเช้าวันศุกร์ กอร์ดอนขอร้องแอนเธีย ผู้เป็นภรรยา ให้ขับรถพาอลัน ผู้เป็นน้องชายของเขา กลับไปที่ลอนดอน โดยเขาจะทำหน้าที่ดูแลเด็ก ๆเอง และเมื่อเขาอยู่คนเดียว เขาได้นำระเบิดไปซุกไว้ในกระเป๋าเอกสาร และตั้งเวลาระเบิดไว้ กอร์ดอนพยายามจินตนาการ และสร้างกำแพงในความคิดของเขา เพื่อป้องกันความคิดของเขาให้พ้นจาก ทักษะในการอ่านใจคนอื่นของพวกเด็ก ๆ ในขณะเดียวกัน แอนเธียรู้สึกแปลก ๆ ในคำพูดของกอร์ดอนผู้เป็นสามี จึงตัดสินใจเลี้ยวรถกลับไปยังบ้าน ที่มีเด็ก ๆ กำลังเรียนหนังสืออยู่กับกอร์ดอน
ในระหว่างการเรียน พวกเด็กสังเกตุเห็นความประหม่า ในตัวของกอร์ดอน แต่ก็ไม่สามารถทะลุผ่านกำแพงความคิด ที่กอร์ดอนสร้างไว้ จึงไม่สามารถเข้าไปอ่านความคิดของกอร์ดอนได้ พวกเด็กจึงรวมพลังของพวกเขาทั้งหมด เข้าไปเขย่าสมาธิของกอร์ดอน เพื่อทำลายกำแพงความคิดนั้น และในช่วงคาบเกี่ยวที่กำแพงความคิดของกอร์ดอนกำลังจะพังทลายลงมา ก็เกิดการระเบิดจากกระเป๋าเอกสารของกอร์ดอน ซึ่งมันรุนแรงมากพอ จนทำให้กอร์ดอน และเด็กประหลาดเหล่านั้นตายไป ถือว่าเป็นการช่วยโลกให้รอดพ้นจากการควบคุมของเด็ก ๆ ที่มีพลังอำนาจพิเศษนี้ไว้ได้
สุดท้าย
เป็นอย่างไร นี่เป็นเรื่องย่อของเจ้าตำรับนกกาเหว่า ที่ผู้เขียนอย่าง จอห์น วินด์แฮม ได้เสนอตอนจบที่ดุดัน ตามแบบฉบับของคนในยุคสงครามเย็น และอยู่ในประเทศที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายสุด ๆมาแล้ว ซึ่งมีตอนจบที่ค่อนข้างแตกต่างกับ กาเหว่าที่บางเพลง ที่เป็นภาคอวตารของมัน ที่เขียนโดยคุณชายคึกฤทธิ์ที่จบลงอย่างเหงา ๆ ปนเศร้า และให้ความรู้สึกซาบซึ้งใจ ตอนที่เด็ก ๆเริ่มป่วยหนักขึ้นลงเพราะร่างกายขาดอวัยวะบางส่วนไปนั้น ถูกทำให้ดูเหมือนว่าเด็ก ๆเริ่มมีความรู้สึกอาทรขึ้นมาบ้าง เห็นไม๊ล่ะครับว่า ต่อให้เกรียนมาจากดาวดวงไหนก็ตาม ถ้ามาเจอเสน่ห์ของคนไทยแล้วล่ะก็ เป็นต้องยอมหมดใจ
สุดท้ายนี้อยากขอย้ำอีกครั้งว่า กาเหว่าที่บางเพลง เป็นหนังสือที่อ่านสนุก ให้บรรยากาศของไทยเก่า ๆ ที่ดูเหมือนว่ามันลางเลือนออกไปจากความทรงจำนานแล้ว ให้กลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง ขอเชิญที่ลิงค์ด้านบน คุณจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม และจริง ๆแล้ว ผมอยากจะโชว์ภาพหนังสือ กาเหว่าที่บางเพลง ของผมที่เป็นเล่มที่ตีพิมพ์เป็นครั้งแรก ผมไปได้มาจากร้านแบกะดินริมคลองหลอด แต่ปกมันหลุด และเก็บไว้ที่บ้านหลังเก่า ซึ่งยากจะเข้าถึง
One thought on “กาเหว่าที่บางเพลง ภาคอวตารของ The Midwich Cuckoos”